เครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องตี
กรับ ทำด้วยไม้ไผ่ซีก เหลาให้เรียบและเกลี้ยงเกลา เพื่อมิให้ผิวและเสี้ยนบาดและตำมือ รูปร่างแบนตามซีกไม้ ไผ่และหนาตามขนาดของเนื้อไม่ เช่นหนาสัก ๑.๕ ซม. กว้างสัก ๓-๔ ซม. และตามยาวปรมาณ ๔๐ ซม. ทำเป็น ๒ อัน หรือคู่ ใช้ตีให้ผิวกระทบกันทางด้านแบ เกิดเสียงได้ยินเป็น"กรับ-กรับ-กรับ" และคงจะเนื่องด้วยเสียง นี้เองจึงเรียกเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า "กรับ" ต่มาผู้ประดิษฐ์ทำด้วยไม้แก่นหือไม้จริงแต่ก็เหลาเป็นรูปแบนอย่างซีกไม้ไผ่ คงใช้ในลักษณะเดียวกับกรับไม้ไผ่
ระนาดเป็นเครื่องตีชนิกหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ว่ามีวิวัฒนาการมาจากกรับ แต่เดิมก็คงใช้ไม้กรับ ๒ อันตีเป็นจังหวะแล้วต่อมาเกิดความรู้เอาไม้มาทำอย่างกรับหลายๆอัน วางเรียงตีให้เกิดเสียงหยาบๆขึ้นก่อนแล้วคิดทำไม้ รองรับเป็นรางวางเรียงราดไป เม่อเกิดความรู้ความชำนาญขึ้นก็แก้ไขประดิษฐ์ให้มีขนาดลดหลั่นกัน และทำรางรองให้อุ้มเสียงได้แล้วใช้เชือกร้อย "ไม้กรับ" ขนาดต่างๆนั้นให้ขึงติดอยู่บนราง ใช้ไม้ตีเกิดเสียงลดลั่นกันตามต้องการ ใช้เป็นเครื่องบรรเลงเพลงได้แล้วต่อมาก็ประดิษฐ์แก้ไขตัดแต่งใช้ตะกั่วกับขี้ผึ้งผสมกันติดหัวท้ายของไม้กรับถ่วงเสียงให้เกิดความไพเราะยิ่งขึ้น จึงบัญญัติชื่อเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า "ระนาด"เรียก"ไม้กรับ" ที่ประดิษฐ์ขนาดต่างๆนั้นว่า "ลูกระนาด" และเรียกลูกระนาดที่ร้อยเชือกเข้าไว้เป็นแผ่นเดียวกันว่า"ผืน" นิยมใช้ไม้ไผ่บงมาทำเพราะว่าได้เสียงดี ทำรางเพื่อให้อุ้มเสียงเป็นรูปคล้ายลำเรือ ทางหัวและท้ายโค้งขึ้น เรียกว่า "ราง(ระนาด)" เรียกแผ่นปิดหัวและท้ายรางระนาดว่า โขน และเรียกรวมทั้งรางและผืนรวมกันเป็นลักษณะนามว่า "ราง" แต่เดิมมา ดนตรีวงหนึ่ง ก็มีระนาดเพียงรางเดียว และระนาดแต่เดิมคงมีจำนวนลูกระนาดน้อยกว่าในปัจจุบันนี้ ต่อมาได้เพิ่มลูกระนาดมากขึ้น และเมื่อมาคิดประดิษฐ์ระนาดอีกชนิดหนึ่งให้มีเสียงทุ้ม ฟังนุ่มไม่แกร่งกร้าวเหมือนชนิดก่อน จึงเลยเรียกระนาดอย่างใหม่นั้นว่า "ระนาดทุ้ม" และเรียกระนาดอย่างเก่าว่า "ระนาดเอก" เป็นคำผสมขึ้นในภาษาไทย ระนาดเอกปัจจุบันมีจำนวน ๒๑ ลูก ลูกต้น ขนาดยาวราว ๓๙ ซม. กว้างราว ๕ ซม. และหนา ๑.๕ ซม. ลูกต่อมาก็ลดหลั่นกันลงไปจนลูกที่ ๒๑ หรือลูกยอด มีขนาดยาว ๒๙ ซม. ลูกระนาดเหล่านั้นร้อยเชือกแขวนบนรางและรางนั้นวัดจาก "โขน" อีกข้างหนึ่ง ประมาณ ๑๒๐ ซม. มีเท้ารองรางตรงส่วนโค้งตอนกลางเป็นเท้าเดี่ยว รูปอย่างพานแว่นฟ้า เครื่องดนตรีชนิดนี้ ปรากฏมีทั้งของชวา ของมอญ และของพม่า ซึ่งพม่าเรียกว่า ปัตตลาร์ (Pattalar หรือBastran) การที่ได้ประดิษฐ์ให้วิวัฒนาการขึ้นนั้นจะเป็นความคิดของไทย หรือได้อย่างมาจากชาติเพื่อนบ้าน หรือชาติเพื่อนบ้านเอาอย่างไป ก็ยังไม่มีหลักฐานจะลงความเห็นได้ แต่คำว่า "ระนาด" นั้นเป็นคำไทยแผลงหรือยืดเสียงมาจากคำว่า "ราด" เช่นเดียวกับคำว่าเรียด แผลงเป็น ระเนียด ราว เป็น ระนาว, ราบ เป็นระนาบ และราด ก็เป็น ระนาด ยังมีคำพูดกันมาจนติดปากว่า "ปี่พาทย์ ราด ตะโพน" แสดงว่าแต่ก่อนคำนี้ยังมิได้ยืดเสียง และถ้าจะยืดเสียง หรือแผลงตามวิธีข้างบนก็อาจพูดได้ว่า "ปี่พาทย์ระนาด ตะโพน" คำว่า "ราด" ก็หมายความว่าวางเรียงแผ่ออกไป ทำให้กระจายออกไป กล่าวคือ กิริยาที่เอาไม้กรับ หรือ "ลูกระนาด" มาวางเรียงตามขนาดต่างๆลดหลั่นกันไปเช่นเดียวกับที่เอาไม้ท่อนมาวางเรียงขวางเป็นทางเดินในที่ลุ่มหรือที่หล่มก็เรียกว่า ระนาด และไม้ไผ่ที่ถักอย่างเรือกสำหรับรองท้องเรือก่อน แล้วนำมาใช้เรียกเครื่องดนตรีต่อภายหลังหรือจะบัญญัติขึ้นใช้เรียกเครื่องดนตรีก่อน แล้วจึงนำไปใช้เรียกไม้ท่อนเรียงขวางและไม้เรือกรองท้องเรือต่อภายหลัง เป็นเรื่องที่ยังไม่พบข้อตกลงของนักปราชญ์ทางภาษา
ฉิ่ง เป็นเครื่องตีทำด้วยโลหะ หล่อหนา เว้ากลาง ปากผายกลม รูปคล้ายถ้วยชาไม่มีก้น สำหรับหนึ่งมี ๒ ฝา แต่ละฝาวัดผ่านศูนย์กลางจากสุดขอบข้างหนึ่งไปสุดขอบอีกข้างหนึ่งประมาณ ๖ ซม. ถึง ๖.๕ ซม. เจาะรู ตรงกลางเว้าสำหรับร้อยเชือก เพื่อสะดวกในการถือตีการะทบกนให้เกิดเสียงเป็นจังหวะฉื่งที่กล่าวนี้ใช้สำหรับ ประกอบวงปี่พาทย์ ส่วนฉิ่งที่ใช้สำหรับวงเครื่องสายและวงมโหรี มีขนาดเล็กกว่านั้น คือ วัดผ่านศูนย์กลาง เพียง ๕.๕ ซม. ที่เรียกว่า "ฉิ่ง" ก็คงจะเรียกตามเสียงที่เกิดขึ้นจาการเอาขอบของฝาหนึ่งกระทบเข้ากับฝาหนึ่งแล้งยกขึ้น จะได้ยินเสียงกังวานยาวคล้าย "ฉิ่ง - " แต่ถ้าเอา ๒ ฝานั้น กลับกระทบประกบกันไว้ จะได้ยินเสียงสั้นคล้าย "ฉับ" เครื่องตีชนิดนี้ สำหรับใช้ในวงดนตรีประกอบการขับร้องฟ้อนรำและการแสดงนาฏกรรม โขน ละคอน
ฉาบเป็นเครื่องตีอีกชนิดหนึ่งทำด้ยโลหะเหมือนกัน รูปร่างคล้ายฉิ่งแต่หล่อบางกว่าฉิ่ง มี ขนาดใหญ่กว่าและกว้างกว่าตอนกลางมีปุ่มกลม ทำเป็กระพุ้งขนาดวางลงในอุ้งมือ ๕นิ้ว ขอบนอกแบ ออกราบโดยรอบและเจาะรูตรงกลางกระพุ้งเพื่อไว้ร้อยเส้นเชือกหรือเนหนังสำหรับถือ ต่อมาคิดทำเป็น ๒ ขนาด ขนาดเล็ก เรียกว่า " ฉาบเล็ก " ขนาดใหญ่เรียกว่า " ฉาบใหญ่ " ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๑๒ ถึง ๑๔ ซ.ม. ขนาดใหญ่เส้นผ่นศูนย์กลางราว ๒๓ ถึง ๒๖ ซ.ม. ใช้ขนาดละ ๒ อัน หรือขนาดละคู่ ตีกระทบกันให้เกิดจังหวะต้องการ ที่เรียกว่า" ฉาบ" เข้าจว่าเรียกตามเสียงที่กระทบกันขณะตีกระกบ แต่ถ้าตีเปิดจะได้เป็เสียงคล้าย แฉ่งๆ
ฆ้องวงเล็ก ปรากฏว่าสร้างกันขึ้นเมื่อรัชกาลที่ ๓ กรุงรัตนโกสินทร์ โดยมีคณาจารย์ทางดุริยางคศิลป คิดประดิษฐ์ฆ้องขึ้นอีกขนาดหนึ่งเหมือนกับฆ้องวงก่อน(๑๕)ทุกอย่าง แต่ขนาดย่อมกว่าเล็กน้อย วัดจากขอบวงด้านซ้ายมือถึงขอบวงในด้านขวา กว้างประมาณ ๘๐ ซม. จากด้านหน้าไปด้านหลัง๖๐ ซม. เรือนฆ้องสูง ๒๐ ซม. วงหนึ่งมีจำนวน ๑๘ ลูก ลูกต้นวัดผ่านศูนย์กลางประมาณ ๙.๕ ซม. ใช้บรรเลงร่วมในวงปี่พาทย์ แต่นั้นมาปี่วงพาทย์ วงหนึ่งๆ จะใช้ฆ้อง ๒ วง ก็ได้เรียกฆ้องวงใหญ่แต่เดิมว่า " ฆ้องวงใหญ่ " และฆ้องวงขนาดเล็กที่ประดิษญ์สร้างขึ้นใหม่นี้เรียกว่า"ฆ้องวงเล็ก" และฆ้องวงทั้ง ๒ วงนี้ นอกจากจะใช้บรรเลงร่วมในวงปี่พาทย์แล้ว ต่อมาได้ย่อขนาดสร้างขึ้นให้ย่อมลงอีกและใช้บรรเลงในวงมโหรีด้วย
ตะโพนในหนังสือเก่าเรียก" สะโพน " ก็มี รูปร่างคล้ายมุทึงค์ หรือ มฤทังค์ หรือ มัททละของอินเดีย กล่าวคือ หน้าที่ขึงหนัง ๒ ข้างเรียวเล็กตรงกลางป่อง ของอินเดียใช้วางบนตักตีหรือมีสายสะพายเมื่อยืนตี ส่วนตะโพนหรือสะโพนของเรา มีเท้ารองให้ตะโพนวางนอนอยู่บนเท้าใต้ฝ่ามือซ้ายขวาตีได้ทั้งสองหน้า มฤทังค์ หรือ มัททละ เป็นเครื่องหนังที่ใชแพร่หลายในอินเดียในแต่โบราณมีนิยายว่า พระพรหมาได้ทรงสร้างขึ้นเพื่อประกอบ วงหวะรำฟ้อนของพระศิวะเมื่อทรงมีชัยเหนือนครตรีปุระและกล่าวว่า พระคเณศ ผู้เทพโอรส เป็นผู้ตีคนแรกที่เรียกชื่อว่า มฤทังค์ หรือ มัททมะนั้น เพราะแต่เดิมตัวหุ่นทำด้วยดิน แต่เดี๋ยวนี้ทำด้วยไม้ส่วนตะโพนของไทยทำด้วยไม้สักหรือไม้ขนุน เรียกว่า "หุ่น" ขุดแต่งให้เป็นโพรงภายในขึ้นหนังสองหน้า ดึงด้วยสายหนังโยงเร่งเสียงที่เรียกว่า"หนังเรียด" หน้าหนึ่งใหญ่ กว้างประมาณ ๒๕ ซม. เรียก" หน้าเท่ง " ต้องติดข้าวสุกบดผสมขี้เถ้าถ่วงเสียง อีกหน้าหนึ่งเล็กกว้างประมาณ ๒๒ ซม.เรียก " หน้ามัด " ตัวกลองยาวประมาณ ๔๘ ซม. ตรงรอบขอบหนังขึ้นหน้าถักด้วยหนังตีเกลียวเส้นเล็กๆเรียกว่า " ไส้ละมาน " แล้วจึงเอาหนังเรียดร้อยในช่องของไส้ละมานทั้ง ๒ หน้า โยงเรียงไปโดยรอบจนไม่แลเห็นไม้ " หุ่น " แล้วมีหนังพันตอนกลางเรียกว่า" รัดอก " ตรงรัดอกข้างบนทำเป็หูหิ้ว ตะโพนใช้บรรเลงผสมอยู่ในวงปี่พาทย์ มีหน้าที่กำกับจังหวะหน้าทับต่างๆ
รำมะนาขนาดเล็ก หน้ากว้างประมาณ ๒๖ ซม. ตัวรำมะนายาวประมาณ ๗ ซม. หนังที่ขึ้นตรึงด้วยหมุดโดยรอบ จะเร่งหรือลดเสียงให้สูงต่ำไม่ได้ แต่มีเชือกเส้นหนึ่งเรียกกันว่า " สนับ " สำหรับหนุนข้างในโดยรอบของหน้า ช่วยให้เสียงสูงและไพเราะได้ ตีด้วยฝ่ามือใช้บรรเลงร่วมในวงมโหรี และเครื่องสาย เป็นเครื่องตีคู่กันกับโทน มโหรี ตัวรำมะนามโหรี มักจะประดิษฐ์ ทำกันอย่างสวยงามเช่นทำด้วยงา หรือตัวรำมะนาทำด้วยงาแต่ฝังไม้เป็น การสลับสี หรือรำมะนาเป็นไม้ฝังงาสลับสี โทนและรำมะนาคู่ของเรานี้ อาจใช้บรรเลงในลักษณะเดียวกับกลอง คู่ของอินเดียที่เรียกว่า " ตับลา " กระมัง
|