ตัวโน้ตดนตรี
เป็นระบบการบันทึกแทนเสียงดนตรีที่มีมาตั้งศตวรรษที่11
โดย กีโด เดอ อเรซ์โซ (Guido d Arezzo, 995-1050) บาทหลวงชาวอิตาเลียน
ต่อมาได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสมบูรณ์อย่างที่เราได้พบเห็นและใช้กันในปัจจุบัน
ตัวโน้ตสามารถบอกหรือสื่อให้นักดนตรีทราบถึงความสั้น ยาว,
สูง ต่ำ ของระดับเสียงได้
เราจึงควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับลักษณะของตัวโน้ตดนตรี (Music Notation)
พอสังเขปดังนี้
การที่จะกำหนดให้ตัวโน้ตหางชี้ขึ้นหรือลงให้ยึดเส้นที่ 3 ของบรรทัด 5 เส้น (Staff) เป็นหลัก
กล่าวคือตัวโน้ตที่คาบอยู่เส้นที่ 3 และต่ำลงมาหางตัวโน้ตจะต้องชี้ขึ้น
ส่วนโน้ตที่คาบอยู่เส้นที่ 3 หรือสูงขึ้นไปหางตัวโน้ตจะต้องชี้ลง
สำหรับโน้ตที่คาบอยู่เส้นที่ 3 เองนั้นหางจะขึ้นหรือลงก็ได้ให้ยึดตัวโน้ตที่อยู่ภายในห้องหรือโน้ตที่อยู่ข้างเคียงเป็นหลัก
ดังตัวอย่าง
ภาพแสดงการกำหนดหางและชายธง
(stem&flag) ของตัวโน้ต
ตัวหยุด
หรือเครื่องหมายพักเสียง (Rest)
การบรรเลงดนตรี หรือการร้องเพลง
ในบทเพลงใดบทเพลงหนึ่งต้องมีบางตอนที่หยุดไปการหยุดนั้นอาจเป็น 4,3,2
จังหวะ หรืออาจมาก น้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับผู้แต่ง
การบันทึกตัวหยุดนั้นได้กำหนดเป็นสัญลักษณ์ เช่นเดียวกันตัวโน้ต
ซึ่งโดยทั่วไปเรียกว่า ตัวหยุด (Rest) หมายถึง
สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเงียบเสียงดนตรีหรือเสียงร้องแต่อัตราจังหวะยังคงดำเนินไปตลอด
ตัวหยุดจะถูกเขียนลงบนบรรทัด 5 เส้น เช่นเดียวกับตัวโน้ต
มีลักษณะต่างกันดังนี้
เครื่องหมายตาไก่ หรือ ศูนย์ (Fermata)
เป็นเครื่องหมายทางดนตรีที่มีลักษณะคล้ายตาไก่
คนไทยเราก็เลยนิยมเรียกง่าย ๆ ตามลักษณะที่เห็นว่า ตาไก่ ใช้สำหรับเขียนกำกับตัวโน้ตตัวใดตัวหนึ่งที่ผู้แต่งต้องการให้ยืดเสียงออกตามความพอใจ
การเขียนเครื่องหมายตาไก่นิยมเขียนกำกับไว้ที่หัวตัวโน้ต และจะมีผลกับตัวโน้ตตัวนั้น
ๆ ไม่ว่าตัวโน้ตลักษณะใดก็ตาม
ระดับเสียง (Pith)
จากข้างต้นเราจะเห็นว่ามีตัวโน้ตที่บันทึกอยู่บนบรรทัด 5 เสียงมีเพียง 11 ตัวโน้ตหรือ 11เสียงเท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้วผู้ประพันธ์เพลงหรือคีตกวีต่าง ๆ
ได้เขียนเพลงซึ่งต้องมีระดับเสียงที่สูงหรือต่ำกว่าโน้ตทั้ง 11 ตัวดังกล่าวแน่นอน
เพื่อให้การบันทึกเสียงตัวโน้ตดนตรีได้เป็นไปตามความต้องการของผู้ประพันธ์เพลงก็จึงได้มีการคิดวิธีการที่จะทำให้การบันทึกโน้ตได้มากขึ้นจึงใช้
เส้นน้อย (ledger line) มาบันทึกโดยวิธีการขีดเส้นตรงทับตัวโน้ตและให้ตัวโน้ตอยู่ระหว่างช่องจึงทำให้เสียงนั้นสูง
ต่ำได้ตามต้องการ ดังตัวอย่าง
ภาพแสดงเส้นน้อย (ledger lines)
จากข้างต้นที่กล่าวมาเป็นส่วนที่เกี่ยวกับตัวโน้ต ลักษณะตัวโน้ต
และตำแหน่งที่อยู่ของตัวโน้ตเท่านั้น
ซึ่งยังไม่เพียงพอที่เราจะระบุได้ว่าโน้ตตัวนั้น ๆ
มีระดับเสียงชื่อว่าอะไรมีความสูงต่ำระดับใด
จึงได้มีการกำหนดกุญแจประจำหลักขึ้นเพื่อที่ใช้เป็นตัวระบุชื่อของตัวโน้ตได้
เครื่องหมายแปลงเสียง (Accidentals)
เป็นสัญลักษณ์ทางดนตรีที่ใช้เขียนกำกับหน้าตัวโน้ตหรือหลังกุญแจประจำหลักเมื่อต้องการแปลงเสียงให้สูงขึ้น
ต่ำลง หรือกลับมาเป็นเสียงปกติเหมือนเดิม เครื่องหมายแปลงเสียงประกอบด้วย 5 ชนิด คือ
หมายเหตุ
1.การเขียนเครื่องหมายแปลงเสียงทั้ง 5 ชนิดนี้
ต้องเขียนกำกับไว้หน้าและตำแหน่ง เดียวกันกับตัวโน้ต เช่น ตัวโน้ตคาบอยู่บนเส้นที่
2 เครื่องหมายแปลงเสียงต้องอยู่หน้าตัวโน้ตบนเส้นที่ 2
เช่นกัน
2. เครื่องหมายแปลงเสียงมีผลบังคับตัวโน้ตนั้น ๆ ภายใน 1 ห้องเพลงเท่านั้นยกเว้น เขียนกำกับไว้หลังกุญแจประจำหลัก
กุญแจประจำหลัก (Clef)
กุญแจประจำหลัก
(Clef) ถือว่าเป็นเครื่องหมายทางดนตรีที่สำคัญ
เพื่อใช้ในการกำหนดหรือบงชี้ว่าตัวโน้ตแต่ละตัวมีชื่อเรียกว่าอย่างไร
ในหนังสือเล่มนี้จะขอกล่าวถึงกุญแจประจำหลักที่สำคัญเพียง 2 กุญแจเท่านั้น
คือ กุญแจประจำหลัก G (G Clef) และกุญแจประจำหลัก F
(F Clef) ซึ่งทั้ง 2 กุญแจ
มีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งปรากฎให้เห็นและใช้กันจนถึงปัจจุบัน ทั้ง 2
กุญแจนี้มักเรียกกันสั้น ๆ จนติดปากว่า กุญแจซอล และกุญแจฟา
1.
กุญแจซอล
เป็นเครื่องหมายประจำหลักที่ใช้กันมากสำหรับบันทึกระดับเสียงของเครื่องดนตรีหรือเสียงร้องที่มีระดับกลางถึงสูง
ภาษาอังกฤษเรียก จี
เคลฟ(G Clef) หรือ เทร็บเบิ้ล เครฟ
(Treble Clef) โดยทั่วไปเรียกว่า กุญแจซอล ในการเขียนกุญแจซอลบันทึกโดยหัวกุญแจให้คาบเส้นที่
2 ของบรรทัด 5 เส้น
โน้ตทุกตัวที่คาบอยู่บนเส้นที่ 2 ของบรรทัด 5 เส้น จะมีเสียงเดียวกับชื่อกุญแจคือ ซอล ดังตัวอย่าง
โดยปกติแล้วในทางดนตรีได้มีนักปราชญ์ทางดนตรีได้กำหนดชื่อเรียกระดับเสียงตัวโน้ตและได้ถือปฏิบัติสืบเนื่องกันต่อมาจนถึงปัจจุบัน
โดยจัดเรียงจากระดับเสียงต่ำไปหาสูง 7 เสียงดังนี้ C
D E F G A B C ไม่ว่าระดับเสียงจะสูงหรือต่ำก็คงมีชื่อกำกับเพียง 7
เสียงหลัก ๆ เท่านั้น เพียงแต่การบันทึกโน้ตลงบนบรรทัด 5 เส้น เสียงที่เรียกชื่อเหมือนกัน
แต่ระดับเสียงต่างกันเรียกว่ามีระยะขั้นคู่แปดระดับเสียงที่ต่างกันเราเรียกว่า อ๊อคเทฟ (Octave)
จากข้างต้นเมื่อเราทราบชื่อของตัวโน้ตที่เรียงลำดับจากเสียงต่ำไปเสียงสูงแล้วและยังทราบชื่อตัวโน้ตที่คาบอยู่บนเส้นที่
2 ของกุญแจซอลคือตัว ซอล แล้ว เราสามารถทราบชื่อโน้ตตัวอื่น ๆ ได้โดยการไล่เสียงขึ้น
และลงตามลำดับได้ดังนี้
2.
กุญแจฟา
เป็นเครื่องหมายประจำหลักที่ใช้กันมากสำหรับบันทึกระดับเสียงของเครื่องดนตรีหรือเสียงร้องที่มีระดับต่ำ
ภาษาอังกฤษเรียก เอฟ
เคลฟ (F Clef) หรือ เบส เครฟ
(Bass Clef) โดยทั่ว ๆ ไปมักเรียกว่า กุญแจฟา ในการเขียนกุญแจฟาเขียนโดยหัวกุญแจให้คาบเส้นที่ 4 ของบรรทัด
5เส้น โน้ตทุกตัวที่คาบอยู่บนเส้นที่ 4 ของบรรทัด 5 เส้น จะมีเสียงเดียวกับชื่อกุญแจคือ ฟา ดังตัวอย่าง
จากข้างต้นเมื่อเราทราบชื่อของตัวโน้ตที่เรียงลำดับจากเสียงต่ำไปเสียงสูงแล้วและยังทราบชื่อตัวโน้ตที่คาบอยู่บนเส้นที่
4 ของกุญแจฟาคือตัว ฟา แล้วเราสามารถทราบชื่อโน้ตตัว
อื่น ๆ ที่บันทึกด้วยกุญแจฟาได้โดยการไล่เสียงขึ้น และลงตามลำดับได้ดังนี้
นอกจากการบันทึกโน้ตลงในบรรทัด 5 เส้นที่แยกระหว่างกุญแจซอลกับกุญแจฟาแล้วยังมีการบันทึกโน้ตอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า บรรทัดรวม (Grand Staff) โดยการนำเอากุญแจซอลและกุญแจฟาบันทึกลง พร้อม ๆ กัน
บรรทัดประเภทนี้มักใช้สำหรับการเขียนโน้ตให้เปียโนบรรเลง