<< Go Back

อาวุธ
            คือ เครื่องมือที่ใช้ระหว่างการรบเพื่อสังหารหรือทำลายทรัพย์สินและทรัพยากรจนไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากร ได้ อาจใช้ในการโจมตี การป้องกัน และการข่มขู่ ถูกแบ่งไว้ 2 ประเภทคือ
            1. อาวุธที่เป็นอาวุธโดยลักษณะเช่น ดาบ หอก กระบี่ สนับมือ ปืน เครื่องระเบิด เป็นต้น
            2. อาวุธที่มิใช่อาวุธโดยลักษณะแต่ใช้ได้เสมือนดังอาวุธ มีบันทึกการใช้อาวุธปรากฏในภาพเขียนบนผนังถ้ำ

ลักษณะและวิธีการใช้อาวุธแต่ละประเภท
            อาวุธต่างๆ ที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไปในการสงครามในสมัยโบราณนั้น มีความแตกต่างกันตามรูปร่างลักษณะและวิธีการใช้ ซึ่ง สามารถแบ่งแยกออกได้ดังประเภทต่างๆ ต่อไปนี้คือ อาวุธประเภทฟันแทง อาวุธประเภทแทง อาวุธประเภทตี อาวุธประเภทยิง และประเภทเครื่องป้องกันอาวุธ วิธีการใช้เป็นส่วนรวมนั้น
            อาวุธประเภทกระบี่คือจำพวกอาวุธสั้นจะใช้ในรูปแบบของการรบแบบประชิดตัว คือการรบขั้นตะลุมบอนหรือขั้น ประจัญบาน ส่วนอาวุธที่จัดอยู่ในประเภทกระบองคืออาวุธยาวนั้น จะใช้ในรูปแบบของการโจมตี และอาวุธยิงจะใช้ในรูปแบบ ของการโจมตีในระยะไกล อาวุธทุกชนิดนับว่าเป็นอาวุธประจำตัว ใช้ตามความถนัดมือของตนเอง เช่น
            1. ดาบ เป็นอาวุธที่ใช้สำหรับฟันและแทง ตัวดาบเป็นรูปโค้งเล็กน้อย ช่วงกลางใบดาบจะกว้าง เพื่อประสิทธิภาพที่จะฟัน ได้อย่างหนักหน่วงช่วงปลายดาบจะเรียวแหลมเพื่อประสิทธิภาพในการแทง ศูนย์กลางน้ำหนักจะตกอยู่ค่อนข้างปลายดาบเพื่อ เพิ่มอำนาจการฟันให้มากยิ่งขึ้น ใบดาบจะทำด้วยเหล็กกล้ายาวประมาณ 60 ซ.ม. ส่วนกว้างที่สุดประมาณ 5 ซ.ม. ใบดาบแบ่งออก เป็นสองส่วนด้วยกัน คือ ส่วนกระด้างและส่วนท้วม ส่วนกระด้างจะอยู่ในช่วงโคนของใบ

             2. กระบี่ เป็นอาวุธที่ใช้สำหรับฟันและแทงมีลักษณะคล้ายดาบ ยาวประมาณ 90 ซ.ม. ตัวกระบี่ทำด้วยเหล็กกล้าเป็นรูป แบน ตรง และปลายแหลม น้ำหนักส่วนใหญ่จะตกอยู่ที่ด้ามกระบี่ น้ำหนักมีน้อยในตอนกลางและตอนปลายในช่วงระหว่างคม และสันมักทำเป็นร่องทั้งสองข้างริมขอบร่องตอนบนจึงนูนเป็นสันขึ้นมาด้ามกระบี่จะสวมติดอยู่กับกั่นกระบี่อย่างแน่นหนายาว xระมาณ 12 ซ.ม. โกร่งกระบี่ซึ่งติดอยู่กับด้ามมีลักษณะคล้ายกับตระกร้อสอยผลไม้ทำด้วยโลหะติดอยู่ระหว่างหัวและท้ายของ ด้ามกระบี่ มีไว้สำหรับป้องกันมือมิให้คู่ต่อสู้หรือข้าศึกฟันถูกกระบี่เป็นอาวุธที่ใช้สำหรับฟันและแทงได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว

             3. หอก มีอยู่สองชนิดด้วยกัน คือ ชนิดที่คอหอกมีกระบัง และอีกชนิดหนึ่งไม่มีกระบัง สมัยโบราณ หอกเป็นอาวุธสำหรับ ทหารราบหรือพลเดินเท้าเป็นอาวุธที่ใช้สำหรับแทงโดยเฉพาะหอกแบ่งได้ออกเป็น 2 ส่วน คือ ใบหอกและคันหอกหรือด้าม หอกใบหอกทำด้วยเหล็กกล้ามีเหลี่ยมสี่เหลี่ยม คันหอกเป็นรูปทรงกระบอกทำด้วยเหล็กกล้า หรือทำด้วยไม้หรือหวาย ทั้งใบ หอกและคันหอกจะมีน้ำหนักไม่เกิน 22 ก.ก. สามารถใช้ได้อย่างถนัดและแน่นอนมีความยาวตั้งแต่ 2 เมตรขึ้นไป ช่วงปลายหอก ซึ่งแหลมนั้นจะให้อยู่ตรงกับแนวแนวทางยาวของคันหอก หอกมีหลายชนิด เช่น หอกซัด หอกใบข้าว หอกใบพาย เป็นต้น

            4. ทวน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 กล่าวว่า " เป็นอาวุธชนิดหนึ่งคล้ายหอกแต่เรียวเล็กและเบากว่า" ทวนเป็นอาวุธยาวใช้สำหรับทหารม้าเป็นส่วนใหญ่ ทวนมีลักษณะเช่นเดียวกับหอก ทวนไม่มีกระบัง แต่จะมีพู่จามรีผูกติดไว้ตรง คอทวนหรืออาจมีลูกแก้วลักษณะต่างๆ ผูกติดไว้ตรงคอทวน โดยทั่วไปทวนจะมีความยาวมากกว่าหอกใบทวนมีความแหลม และคมทั้งสองข้าง ทวนมีความคล่องตัว ใช้ได้ทั้งบนหลังช้าง บนหลังม้า และบนพื้นราบ

            5. ง้าว เป็นอาวุธยาวที่ใช้สำหรับฟันและแทงใบง้าวมีลักษณะรูปร่างคล้ายใบมีด หรือใบดาบ ตอนปลายโค้งเรียว ตอนสัน หนา มีความยาวประมาณ 50 ซ.ม. ด้ามง้าวหรือคันง้าวมีลักษณะเช่นเดียวกับหอกหรือทวนสวมติดอยู่กับกั่นอย่างแน่นหนา ยาว ประมาณ 170 ซ.ม. ส่วนใหญ่ทำด้วยไม้ซึ่งเหนียวและแข็งแรงไม่หักง่ายบางอันทำด้วยโลหะแต่มีน้อย เพราะหนักเกินไปไม่ เหมาะที่จะใช้ฟัน ง้าวเป็นอาวุธที่จะต้องจับด้วยสองมือที่ถูกต้องนั้น ตามปกติจะให้มือซ้ายจับอยู่ด้านปลายสุดของด้ามห่าง ประมาณ 25 ซ.ม มือขวาจะจับอยู่ห่างจากมือซ้ายในระยะที่ถนัด คือ ระยะช่วงหนึ่งลำตัวของผู้ถือ การใช้ง้าวเป็นอาวุธส่วนใหญ่ จะใช้บนหลังช้างและจะต้องประกอบด้วยของ้าว ซึ่งเป็นเหล็กรูปโค้งคล้ายมีดติดอยู่ระหว่างโคนของใบง้าวกับคันง้าว

             6. แหลน และ หลาว แหลน แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ตัวแหลน และ ด้าม ตัวแหลนเป็นเหล็กแหลมยาวเรียว ส่วนตรงคอจะ เป็นสี่เหลี่ยม ด้ามแหลนมีลักษณะเช่นเดียวกับหอก แหลนเป็นอาวุธที่ใช้สำหรับพุ่งและแทง             
หลาว คือ ไม้รวกเสี้ยมปลายเป็นรูปปากฉลาม ใช้สำหรับพุ่งโดยเฉพาะ

            7. พลอง เป็นอาวุธยาวที่ใช้สำหรับตีและกระทุ้ง มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า " สี่ศอก " เพราะมีลักษณะเป็นท่อนกลมยาว 4 ศอก ตามปกติทำด้วยไม้เนื้อเหนียวไม่หักง่าย พลองบางอันทำด้วยโลหะมีความยาวประมาณ 200 ซ.ม ขนาดโตวัดโดยรอบ ประมาณ 20 ซ.ม มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-6 ซ.ม. พลองเป็นอาวุธที่ไม่มีหัวไม่มีท้าย ขนาดโตเท่ากันหมดตลอดอัน การจับ พลองจะจับส่วนกลางของพลองด้วยมือทั้งสองข้างห่างกันพอถนัดมือที่ถนัดจับหงายมือที่ไม่ถนัดจับคว่ำ ปล่อยให้ปลายเหลือ ข้างละเท่าๆ กัน การตีพลองนั้นเป็นการยาก เพราะพลองเป็นไม้สองหัวใช้ได้ทั้ง 2 ข้าง ซึ่งแตกต่างกับอาวุธชนิดอื่น เช่น ง้าว ที่ เน้นการใช้เพียงด้านปลายด้านเดียวโดยการฟันและแทงส่วนหอกและแหลนนั้นก็จะเน้นไปในด้านของการแทงเพียงอย่างเดียว

            8. ไม้สั้น มีรูปร่างลักษณะคล้ายกระดูกท่อนปลายแขน เป็นท่อนไม้ยาวประมาณ 45 ซ.ม. กว้างและสูงประมาณ 6-7 ซ.ม. ด้านในทำโค้งเป็นร่อง เพื่อให้ติดแนบกับปลายแขนด้านนอกทำเป็นรูปโค้งลักษณะครึ่งวงกลมด้านโคนเจาะรูแล้วร้อยเชือก ขนาดโตเท่านิ้วก้อย ซึ่งทำเป็นห่วงสำหรับใช้สอดมือเข้าไปเพื่อเป็นปลอกแขนรัดใต้ศอกตอนปลายฝังด้วยไม้กลมเล็กๆ 2 อัน ติดเป็นรูปเสายาวประมาณ 15 ซ.ม. เรียงคู่ห่างกันเล็กน้อย เพื่อประโยชน์ในการจับซึ่งต้องจับไว้ 1 อัน ส่วนอันที่ 2 ซึ่งอยู่ด้านนอก ใช้สำหรับป้องกันนิ้วมือ ไม้สั้นนี้สวมทับแขนท่อนปลายทั้ง 2 ข้าง และทำการต่อสู้กับพลองในลักษณะของการแสดงกระบี่ กระบองเพื่อชี้เน้นให้เห็นว่า
                         8.1 ต้องการแสดงถึงศิลปะการต่อสู้ ซึ่งผู้ที่มีความสามารถในเชิงกระบี่กระบองดีแล้วแม้ว่าจะมีอาวุธที่ด้อยกว่ากัน ก็ตามทียังสามารถต่อสู้เอาตัวรอดได้ และบางครั้งยังสามารถมีชัยชนะคู่ต่อสู้ได้อีกด้วย
                        8.2 ต้องการแสดงเพื่อความสนุกสนาน ขบขัน ในชั้นเชิงของการต่อสู้

ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/อาวุธ
ที่มา : http://www.thaigoodview.com/node/116547

<< Go Back