สุเมเรียน
ชนชาติสุเมเรียน (Sumerian) เป็นชนชาติแรกที่สร้างความเจริญขึ้นในบริเวณเมโสโปเตเมีย มีความเชื่อกันว่า ชาวสุเมเรียนได้อพยพ
มาจากที่ราบสูงอิหร่านและได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณตอนล่างสุดของลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสตรงส่วนที่ติดกับอ่าวเปอร์เซีย โดย
เรียกบริเวณนี้ว่า ซูเมอร์ นักประวัติศาสตร์ถือว่า ซูเมอร์ คือ แหล่งกำเนิดของนครรัฐแห่งแรกของโลก
ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสุเมเรียนเริ่มแรกชีวิตแบบหมูบ้านเล็กๆ ต่อมาจึงเปลี่ยนมาเป็นชีวิตในเมืองที่มีการปกครองในรูปแบบ
นครรัฐ ระยะแรกชาวสุเมเรียนมีพระเป็นผู้ดูแลและควบคุมกิจการต่างๆในนครรัฐซึ่งพระจะมีอำนาจในการปกครองแผ่นดินและเป็นประมุข
สูงสุด เรียกว่า ปะเตชี ทำการปกครองในนามของพระเป็นเจ้าทำหน้าที่ควบคุมตั้งแต่การเก็บภาษีควบคุมการดูแลเกี่ยวกับการชลประทาน
และการทำไร่
3,500 ปี ก่อนคริสตกาล ชาวสุเมเรียนได้สร้างอารยธรรมของตนเมืองที่ก่อตัวขึ้นในเขตซูเมอร์ระยะนี้ได้แก่เมืองออร์ เมืองริเรค เมือง
อิริดู เมืองลากาซ และเมืองนิปเปอร์ เมืองเหล่านี้เป็นศูนย์กลางของระบบชลประทานก่อตัวขึ้นได้สำเร็จเพราะประสิทธิภาพของระบบการ
จัดการน้ำ เช่น การเก็บกักและการระบายน้ำ เมืองมีฐานะเป็นอิสระและเป็นศูนย์กลางของการปกครองที่ไม่ขึ้นตรงกันเรียกว่า นครรัฐ
ชาวสุเมเรียนมีความเชื่อในการนับถือเทพเจ้าหลายองค์แต่ละนครรัฐจะมีเทพเจ้าประทับอยู่ในวัดใหญ่เรียกว่าซิกกูแรต ชาวสุเมเรียน
เป็นผู้สร้างขึ้นเพื่อจัดให้เป็นศูนย์กลางของนครรัฐระยะแรกพระจะเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆในนครรัฐไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษี อาหาร ตลอด
จนควบคุมดูแลเกี่ยวกับการชลประทานและการทำไร่นาต่อมาเมื่อเกิดการรบกันระหว่างนครรัฐอำนาจการปกครองจึงเปลี่ยนมาอยู่ที่นักรบ
รือกษัตริย์ ซึ่งเป็นผู้เข้มแข็งสามารถปกป้องนครรัฐได้โดยจะทำหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการต่าง ๆ แทนพระสุดท้ายแล้วชาวสุเมเรียนในสมัย
ของลูการ์ ซักกิซซี ก็ถูกซาร์กอนมหาราชผู้นำชาวอัคคาเดียนรุกรานจนต้องล่มสลายไป
พัฒนาการวัฒนธรรมสุเมเรียน 2 ระยะ คือ
1. ระยะวัฒนธรรมอูเบด (Ubaid) ประมาณ 4250-3750 B.C. เป็นสมัยเริ่มอารยธรรมคนเมือง (Urban life)
2. ระยะวัฒนะรรมอูรุค (Uruk) ประมาณ 3750-3000 B.C. เป็นสมัยของ
ก. การประดิษฐ์อักษรคูนิฟอร์ม หรืออักษรลิ่มบนแผ่นดินเหนียวส่วนใหญ่ใช้ของมีคนกรีดลงบนหินแต่เนื่องจากหินหายากและไม่มี
กระดาษพะไพรัสจึงต้อง เขียนลงบนดินเหนียวแล้วนำไปผึ่งแดดหรือเผาไฟให้แห้งแข็ง เครื่องมือที่ใช้คือ ไม้ หรือกก หรือเหล็กแหลม กด
เป็นรูปลิ่มอักษร จึงถูกเรียกชื่อว่า "คูนิฟอร์ม" หรือตัวอัหษรรูปลิ่ม
ข. การสร้างผลงานสถาปัตยกรรมเรียกว่า "ซิกกูแรท" ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายพิรามิดสร้างบนฐานที่ยกระดับจากพื้นดินข้าง
บนทำเป็นวิหารเทพเจ้ามีบันไดทอดยอดขึ้นไป
ค. การก่อสร้างด้วยอิฐและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ชาวสุเมเรียนได้สร้างผลงานก่อสร้างอื่นๆและทำปฏิทินจันทรคติ กำหนด
เดือนหนึ่งมี 366 ½ วัน ปีหนึ่งมี 12 เดือน ปีของสุเมเรียนจึงมีเพียง 354 วัน ขณะที่ปีทางสุริยคติมี 366 ½ วัน เดือนของชาวสุเมเรียนแบ่งออก
เป็น 4 สัปดาห์ๆ 7-8 วัน วันหนึ่ง แบ่งเป็นกลางวัน 6 ชั่วโมง (เท่ากับ 2 ชั่วโมงในปัจจุบัน) กลางคืน 6 ชั่วโมง การนับคือ หน่วย 60 ซึ่งตกทอด
มาจนถึงปัจจุบัน เช่นการนับ 1 ชั่วโมงมี 60 นาที 1 นาทีมี 60 วินาที วงกลมมี 360 องศา (60 หกครั้ง)
ความเจริญของอารยธรรมสุเมเรียน
1.การปกครองในรูปแบบของนครรัฐ ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสุเมเรียนเริ่มแรกจากชีวิตแบบหมูบ้านเล็กๆ ต่อมาจึงเปลี่ยนมาเป็น
ชีวิตในเมืองที่มีการปกครองในรูปแบบนครรัฐระยะแรกชาวสุเมเรียนมีพระเป็นผู้ดูแลและควบคุมกิจการต่างๆในนครรัฐพระจะมีอำนาจใน
การปกครองแผ่นดินและเป็นประมุขสูงสุด เรียกว่า ปะเตชี (Patesi) ทำการปกครองในนามของพระเป็นเจ้าทำหน้าที่ควบคุมตั้งแต่การเก็บ
ภาษี ได้แก่ ข้าวปลาอาหาร ตลอดจนควบคุมการดูแลเกี่ยวกับการชลประทานและการทำไล่ไถนาต่อมาเมื่อเกิดการแข่งขันและรบพุ่ง
ระหว่างนครรัฐอำนาจการปกครองจึงมาอยู่ที่นักรบหรือกษัตริย์แทน กษัตริย์จะมีตำแหน่งเรียกว่า ลูกาล (Lugal) ซึ่งเป็นผู้เข้มแข็งสามารถสู้
รบป้องกันนครรัฐและทำหน้าที่ควบคุมดูแลกิจกรรมต่างๆแทนพระการปกครองแบบนครรัฐของชาวสุเมเรียนดังกล่าวนี้ นับได้ว่าเป็น
นครรัฐแห่งแรกของโลกและยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตั้งถิ่นฐานของอารยธรรมบาบิโลเนีย อารยธรรมอัสซีเรียน อารยธรรมอิหร่าน รวม
ทั้งอารยธรรมใกล้เคียงอย่างอียิปต์ด้วย
2.ด้านชลประทาน ชาวสุเมเรียนเป็นชนชาติแรกที่ได้สร้างระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพสูงทั้งนี้เนื่องจากถิ่นฐานที่ชาวสุเมเรียน
รุ่นแรกได้สร้างล้านเรือนนั้นทั่วทั้งแผ่นดินปกคลุมด้วยบริเวณพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์อันเกิดจากการทับถมของโคลนตมที่แม่น้ำพัดมาดินดัง
กล่าวเหมาะแก่การเพาะปลูกพืชผลทางเกษตรแต่ที่ยากลำบากคือ ปัญหาเรื่องน้ำ เพราะบริเวณเมโสโปเตเมียเกือบจะเรียกได้ว่าฝนไม่ตกเลย
ทำให้พื้นที่ที่อยู่ห่างจากแม่น้ำ เป็นที่แห้งแล้งไม่เหมาะสมแก่การทำเพาะปลูกในขณะเดียวกันน้ำจะเอ่อขึ้นท่วมฝั่งทุกปีทำให้บริเวณที่อยู่
ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำชุ่มชื้น แฉะ น้ำขังเป็นเหมือนบึง ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าพื้นที่บางแห่งชื้นแฉะเกินไป บางแห่งแห้งแล้งเกินไป ซึ่งชาวสุเมเรียนที่เข้า
มาในระยะแรกได้เห็นปัญหาดังกล่าว เมื่อพวกเขาได้ตัดสินใจตั้งรกรากในบริเวณนี้ก็จะต้องหาทางเอาชนะธรรมชาติ ด้วยการเปลี่ยนแปลง
ธรรมชาติเพื่อให้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตของตนมากที่สุด กล่าวคือในขั้นแรกชาวสุเมเรียนได้สร้างนบใหญ่ขึ้นสองฝากฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส
สร้างคลองระบายน้ำ เขื่อนกั้นน้ำ ประตูน้ำ และอ่างเก็บน้ำเพื่อระบายน้ำออกไปให้ได้ไกลที่สุดและเพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ยามที่ต้องการวิธี
การควบคุมน้ำและจัดระเบียบน้ำดังกล่าวคือระบบชลประทานครั้งแรกของโลก ที่ชาวสุเมเรียนได้เป็นกลุ่มแรกที่ใช้งานระบบนี้
3.ด้านการเพาะปลูก อารยธรรมสุเมเรียนมีความก้าวหน้ามาก มีการใช้คันไถเทียมด้วยวัวทำให้สามารถหว่านไถได้เป็นวริเวณกว้าง
กว่าเดิมลำพังแต่การใช้จอบหรือเสียมการเพาะปลูกเหมือนกับการทำสวนครัวในบ้าน การประดิษฐ์คันไถเทียมด้วยวัวมีความสำคัญในแง่ที่
ว่ามนุษย์เริ่มรู้จักใช้และควบคุมที่มาของพลังงาน คือพลังงานของสัตว์นอกเหนือไปจากพลังงานที่มาจากตัวของมนุษย์เองนอกจากนี้ชาว
สุเมเรียนยังประดิษฐ์เครื่องมือทางเกษตรดั้งเดิม เช่น เครื่องหยอดเมล็ดพืชซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่ในบางแห่งของโลก เครื่องหยอดเมล็ดพืช
ทำงานโดยกรุยพื้นดินให้เป็นร่องก่อน ต่อจากนั้นค่อยๆ หยอดเมล็ดพืชลงในร่องโดยผ่านทางกรวยเล็กๆ เมื่อเมล็ดพืชลงไปอยู่ในดินแล้ว คน
บังคับเครื่องมือจะเดินย่ำกลบเป็นอันเสร็จกรรมวิธีหยอดเมล็ดชาวสุเมเรียนนอกจากจะประสบความสำเร็จในการเพาะปลูกแล้วหลักฐาน
ทางโบราณคดียังบ่งชี้ว่าพวกสุเมเรียนนิยมเลี้ยงสัตว์ โดยมีการทำนมเนย เนย และผ้าขนสัตว์เป็นต้น
4.การเขียนตัวหนังสือ อารยธรรมสุเมเรียนเป็นชนชาติแรกในดินแดนเมโสโปเตเมียที่รู้จักการเขียนหนังสือการเขียนตัวหนังสือของ
ชาวสุเมเรียนจะใช้ไม้เสี้ยนปลายให้แหลมหรือใช้กระดูทำปลายให้มีลักษณะคล้ายรูปลิ่มกดลงบนแผ่นดินเหนียวที่ยังอ่อนอยู่ทำให้เกิดเป็น
รอย แล้วนำไปตากแดดให้แห้งหรือเผาไฟตัวอักษรชนิดนี้เรียกว่าตัวอักษรคูนิฟอร์ม (Cuneiform) หรือตัวอักษรรูปลิ่มและใช้ตัวอักษรนี้
เขียนข้อความต่างๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเขียนตัวอักษรของกรีกและโรมันในสมัยต่อมา
5.วรรณกรรม ด้วยความสำเร็จในระบบการเขียนทำให้ชาวสุเมเรียนสามารถสร้างวรรณกรรมที่สำคัญเรื่องแรกของโลกซึ่งรู้จักอย่าง
กว้างขวางและมีขนาดยาวที่ชื่อว่า มหากาพย์กิลกาเมช (Gilgamehsepic) เขียนบนแผ่นดินเผาขนาดใหญ่ 12 แผ่น รวมด้วยกันทั้งสิ้น 3000
บรรทัด
6.ด้านคณิตศาสตร์ ชาวสุเมเรียนเป็นพวกแรกที่คิดค้นวิธีการคิดเลข ทั้งการลบ การบวก และการคูณ ชาวสุเมเรียนนิยมใช้หลัก 60
และหลักนี้เองถูกนำมาใช้ในเรื่องการนับเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบันรวมทั้งการแบ่งวงกลมออกเป็น 360 องศา (6 x 60) ด้วย
7.การสร้างระบบชั่งตวงวัดและปฏิทินชาวสุเมเรียนรู้จักการใช้ระบบการชั่ง ตวง วัดเป็นอย่างดีมาตราชั่ง ตวง วัด ของชาวสุเมเรียน
แบ่งเป็น เชคเคิล (shekel) มีน่า (Mina) และทาเลน (talent) โดยใช้หลัก 60 คือ 60 เชคเคิล เป็น 1 มีน่า , 60 มีน่า เป็น 1 ทาเลน สำหรับการสร้าง
ปฏิทิน พระชาวสุเมเรียนได้คิดค้นหลักใหญ่ของปฏิทินขึ้นเป็นครั้งแรก ทั้งนี้โดยอาศัยการเฝ้าสังเกตการโคจรของดวงจันทร์ปฏิทินของชาว
สุเมเรียนเป็นปฏิทินแบบจันทรคติ ปีหนึ่งมี 12 เดือน เดือนหนึ่งมี 29 1/2 วัน ปีของชาวสุเมเรียนจึงมีเพียง 354 วัน วึ่งคลาดเคลื่อนกับปีตาม
แบบสุริยคติซึ่งมี 365 1/4 วัน เดือนของชาวสุเมเรียนแบ่งออกเป็น 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 7 - 8 วัน วันหนึ่งแบ่งออกเป็นกลางวัน 6 ชั่วโมง และ
กลางคืน 6 ชั่วโมง (1 ชั่วโมงเทียบเท่า 2 ชั่วโมงในปัจจุบัน)
8.ด้านสถาปัตยกรรม ชาวสุเมเรียนได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มการใช้อิฐในการก่อสร้างอย่างกว้างขวางโดยมีการทำอิฐขึ้นจากดินเหนียว ซึ่ง
มีอยู่มากมายโดยการใช้แทนหินวึ่งเป็นของหายาก อิฐของสุเมเรียนมี 2 ประเภท คือ ประเภทตากแห้งและประเภทอบความร้อนหรือเผาไฟ
ชนิดแรกจะไม่ทนความชื้นใช้ในการก่อสร้างอาคารส่วนที่ไม่กระทบต่อความชื้นแฉะอิฐชนิดอบความร้อนหรือเผาจะทนความชื้นได้ดีใช้
ก่อส่วนล่างของอาคาร เช่น ยกพื้นฐานรากและกำแพงเป็นต้น การพัฒนาอิฐจนมีคุณภาพดี ทำให้ชาวสุเมเรียนได้สร้างนครรัฐของตนขึ้น โดย
สร้างกำแพงอิฐขึ้นล้อมรอบบริเวณที่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของนครรัฐ ได้แก่ บริเวณที่เป็นวัดหรือที่ศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นที่ประทับของพระเป็น
เจ้า ตรงมุมด้านหนึ่งของบริเวณอันศักดิ์สิทธิ์มีสิ่งก่อสร้างที่มีรูปร่างคล้ายๆ พีระมิดของอียิปต์ เรียกว่า ซิกกูแรต (Ziggurat) หรือ "หอคอย
ระฟ้า" สร้างเป็นหอสูง ขนาดใหญ่ ลดหลั่นเป็น 3 ระดับ ยอดบนสุดเป็นวิหารเทพเจ้าสูงสุดประจำนครรัฐ เบื้องล่างถัดจาก "หอคอยระฟ้า" ลงมาเป็นที่ตั้งของวัดวาอารามพระราชวังของกษัตริย์สุสานหลวงที่ทำการตามความนึกคิดของพวกสุเมเรียน ชาวสุเมเรียนบูชาเทพเจ้า
หลายองค์ และแต่ละนครรัญจะมีพระเป็นเจ้า ผู้เป็นองค์อุปถัมภ์นครรัฐนั้น โดยเฉพาะประทับอยู่ ณ วัดใหญ่ที่เรียกว่า ซิกกูแรต ประชาชน
มีหน้าที่ดุแลทำนุบำรุงวัดในรูปของภาษีหรือเครื่องพลีซึ่งนำมาถวายวัดผ่านทางพระหรือนักบวชผู้มีหน้าที่ดูแล
ที่มา : http://civilizationwe.blogspot.com/2012/07/blog-post.html
ที่มา : http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6-3/no25/sec01p03.html
|