ในทางเศรษฐศาสตร์ได้อธิบายความหมายของ วิกฤตน้ำมัน (Oil Shock หรือ Oil crisis) ไว้ว่า เป็นการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันอย่างมากจนเป็นสาเหตุให้เศรษฐกิจโลกถดถอยลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้น้ำมันนับเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจมวลรวม แต่เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไปและใช้เวลาในการเกิดใหม่ยากมาก ปัจจุบันความต้องการใช้น้ำมันมีสูงขึ้นมากขณะที่ความสามารถในการผลิตกลับยังคงเท่าเดิมก็ทำให้เกิดภาวะวิกฤตได้
วิกฤตน้ำมันมิได้เกิดจากความไม่สมดุลของความต้องการในการใช้น้ำมันกับปริมาณน้ำมันที่มีอย่างจำกัดเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังมีปัญหาการเมืองระหว่างประเทศเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของวิกฤตอีกด้วยดังเช่น วิกฤตน้ำมันครั้งที่ 1 ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1973 ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกเริ่มขยายตัว ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันมีมากขึ้นขณะเดียวกันเงื่อนไขของสงครามกลับกลายเป็นตัวเร่ง ให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นักเศรษฐศาสตร์ด้านพลังงานได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุของ Oil Shock ในครั้งแรกว่าเกิดจากปัจจัยหลัก 3 ประการ คือ
- การลดปริมาณการผลิตของผู้ผลิตน้ำมันเกิดขึ้นในเวลาที่มีการขยายตัวของเศรษฐกิจ
- ความสามารถในการผลิตน้ำมันของโลกเริ่มมีขีดจำกัดกล่าวคือเกิดภาวะที่อุปทานน้อยกว่าอุปสงค์
- การลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติถูกปิดลงเพราะผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปคเพิ่มผลผลิต
ประกอบกับสถานการณ์การเมืองโลกในขณะนั้นได้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศอาหรับกับอิสราเอล ซึ่งพวกอาหรับส่วนใหญ่เป็นสมาชิกในกลุ่มโอเปค ผลที่ตามมาทำให้โอเปคใช้น้ำมันเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง โดยเลือกที่จะขายน้ำมันให้กลุ่มประเทศที่เป็นพันธมิตรกับตนเองในราคาปกติ ขณะที่ประเทศเป็นกลางจะถูกจำกัดปริมาณน้ำมันให้น้อยลง และขายในราคาที่แพงขึ้น สำหรับประเทศที่เป็นปฏิปักษ์โอเปคจะงดการขายน้ำมันให้ การกระทำดังกล่าวของกลุ่มโอเปคทำให้ราคาน้ำมันดิบขยับสูงขึ้นไปจากเดิมบาร์เรลละ 3 ดอลลาร์ เป็น 5- 8.9 ดอลลาร์ และราคาจำหน่ายก็ขยับเพิ่มขึ้นเป็น 3.65 ? 5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ผลกระทบที่ตามมาจาก Oil Shock ครั้งที่ 1 พบว่าเกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมโดยถ้วนหน้า ประมาณการกันว่าอัตราการเจริญเติบโตของ GDP ในประเทศอุตสาหกรรมหลัก ๆ ของโลกอย่าง สหรัฐอเมริกาและ สหราชอาณาจักร เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงจากร้อยละ 6 ในปี 1973 เหลือเพียงร้อยละ 0.1 ในปี 1974 ขณะที่ญี่ปุ่นต้องเผชิญภาวะเศรษฐกิจ ถดถอย และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องย้าย ฐานการผลิตมาลงทุนในประเทศแถบอาเซียนรวมทั้งประเทศไทยด้วย จะเห็นได้ว่าการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันมีผลกระทบ ต่อประเทศอุตสาหกรรมและประเทศกำลังพัฒนาอย่างมาก
ในทางกลับกันวิกฤตการณ์น้ำมันกลับสร้างรายได้มหาศาลให้กลุ่มประเทศโอเปค โดยโอเปคได้รับรายได้เพิ่มขึ้นจากการส่งออกน้ำมัน ผลดังกล่าวทำให้เงินทุนสำรองของสมาชิกโอเปคพุ่งสูงขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทน้ำมันข้ามชาติต่างก็ได้รับอานิสงค์จาก Oil Shock ด้วย ประมาณการกันว่าการที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 3 เท่าทำให้บริษัทน้ำมันมีกำไรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 - 24 เลยทีเดียว
|
|
พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี
(Mohammad Reza Pahlavi) |
อะยันโตลาห์ โคไมนี
(Ayatollah Khomeini หรือ
Ruhollah Mostafavi Musavi Khomeini) |
Oil Shock ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นห่างจากครั้งแรกเพียง 5 ปี สาเหตุสำคัญมาจากปัญหาการเมืองภายในอิหร่านซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกประเทศโอเปค โดยในปี 1978 ผู้นำศาสนาอะยันโตลาห์ โคไมนี ได้ทำการล้มล้างราชวงศ์ของกษัตริย์ มูฮัมหมัด เรซา ปาฮ์เลวี และนำอิหร่านเข้าสู่การเป็นรัฐศาสนาอิสลามเต็มรูปแบบ ผลกระทบดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจอิหร่านแทบจะเป็นอัมพาต เกิดการประท้วงหยุดงานในบริเวณแหล่งผลิตน้ำมัน ทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันในประเทศและการส่งออกน้ำมันลดลง เหมือนผีซ้ำด้ามพลอยเมื่อประเทศในกลุ่มโอเปคประกาศให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 15 % ภายในระยะเวลา 1 ปีพร้อม ๆ กันนั้น ได้เกิดสงครามศาสนาระหว่างอิรักและอิหร่านขึ้นมาอีก ยิ่งทำให้การผลิตน้ำมันในตลาดโลกลดลง ผลของการผลิตน้ำมันที่ลดลงโดยที่ความต้องการใช้ยังเท่าเดิมอยู่ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นนั้น ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งพรวดไปอยู่ที่ 32 - 34 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
แน่นอนว่าทุกครั้งที่เกิด Oil Shock ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ประเทศอุตสาหกรรมผู้บริโภคน้ำมันรวมถึงประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ที่ไม่มีทรัพยากรน้ำมันและยังต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง จากต่างประเทศ ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกภาวการณ์เช่นนี้ว่า Adverse Supply Shock หรือเรียกภาษาชาวบ้านง่าย ๆ ว่าภาวะข้าวยากหมากแพง
เราอาจจะสรุปผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวิกฤตน้ำมันแพงที่มีต่อระบบเศรษฐกิจได้ใน 3 ด้าน คือ
- ผลกระทบที่มีต่อด้านดุลการค้าและดุลการชำระเงิน
- ผลกระทบที่มีต่อด้านต้นทุนการผลิตและราคาสินค้า
- ผลกระทบที่มีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
ผลกระทบที่มีต่อดุลการค้าและดุลการชำระเงิน เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันย่อมต้องขาดดุลการค้าเป็นธรรมดา ผลของการขาดดุลการค้าก็นำไปสู่การขาดดุลการชำระเงินด้วย (เนื่องจากดุลการค้าเป็นองค์ประกอบหนึ่งในดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นส่วนหนึ่งของดุลการชำระเงิน) การขาดดุลที่ต่อเนื่องย่อมส่งผลกระทบต่อทุนสำรองระหว่างประเทศลดลง เมื่อทุนสำรองลดลงย่อมส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนหรือสกุลเงินท้องถิ่นนั้นด้อยค่าลงด้วย ท้ายที่สุดย่อมนำไปสู่ความไม่เชื่อมั่นของเศรษฐกิจในประเทศนั้น ๆ
ผลกระทบที่มีต่อต้นทุนการผลิตและราคาสินค้า ผลกระทบดังกล่าวเป็นผลกระทบที่เราชาวบ้านประชาชนธรรมดาสัมผัสได้โดยตรง เพราะทันทีที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นต้นทุนการดำรงชีพย่อมเพิ่มตาม เพราะทุกวันนี้มนุษย์ผูกพันกับการเดินทางตลอดเวลา น้ำมันจึงปัจจัยสำคัญในการคมนาคม การขนส่งสินค้าและบริการทุกชนิด อย่างที่เคยกล่าวไปแล้วว่าผลกระทบที่มีต่อต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นย่อมนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ ที่เรียกว่า Inflation by Cost Push โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเห็นจะเป็นผู้ที่มีรายได้ประจำ เช่น ข้าราชการ หรือพนักงานบริษัท เนื่องจากรายได้เท่าเดิมแต่ค่าครองชีพในชีวิตเพิ่มสูงขึ้น
ผลกระทบที่มีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ผลกระทบนี้เป็นผลกระทบที่รัฐบาลต้องคำนึงถึงมากที่สุดเนื่องจากเป้าหมายการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เป็นเป้าหมายหลักของภาครัฐ ที่เข้ามาจัดการดูแลระบบเศรษฐกิจโดยรวม แต่เมื่อราคาน้ำมันที่แพงขึ้นย่อมทำให้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจไม่มั่นคงตามไปด้วย ดังจะเห็นได้จากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงย่อมไปกดดันภาวะเงินเฟ้อ เมื่อภาวะเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อระดับรายได้ที่แท้จริงของประชาชนในชาติลดลงอีกทางหนึ่งด้วย
ขอบคุณเว็บไซต์ http://www.premierentaneer.com/Page_Article/pa_130807a.php
|