<< Go Back

การทำความสะอาดเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย
วิธีการทำความสะอาดเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายนั้นเป็นสิ่งจำเป็น เสื้อผ้า  และเครื่องแต่งกายจะสวยงามคงสภาพได้ยาวนานถ้าเรารู้จักดูแลรักษา รู้จักใช้วัสดุ  เพื่อการซักฟอกอย่างถูกวิธี ดังนี้

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลรักษาเสื้อผ้า
      ผลิตภัณฑ์ในการทำความสะอาดมีหลายชนิด เช่น ผงซักฟอก น้ำยาซักฟอก สารฟอกขาว น้ำยาปรับผ้านุ่ม เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีมากมายหลายยี่ห้อเมื่อเลือกใช้ควรศึกษาคำอธิบายจากฉลากข้างกล่องให้เข้าใจ  และปฏิบัติตามคำแนะนำนั้น ซึ่งในบางครั้งต้องทดลองใช้ จึงจะสามารถวิเคราะห์คุณภาพของผลิตภัณฑ์นั้นๆได้สำหรับผลิตภัณฑ์ซักฟอกที่นิยมใช้มีดังนี้
1. สารซักฟอก สารซักฟอกที่เป็นทั้งผงและเป็นน้ำ ได้แก่ ผงซักฟอก และน้ำยาซักฟอกใช้สำหรับซักผ้าหรือทำความสะอาดอื่นๆมีขายอยู่ทั่วไปทั้งชนิดเป็นผง  และเป็นน้ำก่อนการเลือกใช้ควรศึกษาฉลากข้างกล่องก่อน และปฏิบัติตามคำแนะนำในฉลากนั้นอย่างเคร่งครัด เพื่อประสิทธิภาพในการใช้งาน และช่วยให้เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายที่ทำความสะอาดคงสภาพเดิมไม่เสียหาย
2. สารปรับผ้านุ่ม สารปรับผ้านุ่มเป็นสารที่มีส่วนผสมของน้ำมัน  ช่วยเคลือบผืนผ้า ลดความกระด้างของผ้า และช่วยลดการดูดซึมของน้ำ ควรใช้เมื่อจำเป็นหรือนานๆครั้งหรือหลังจากการซักทุก 2-3 ครั้ง
3. สารฆ่าเชื้อโรค นิยมนำมาทำความสะอาดเสื้อผ้า เช่น น้ำมันสน สารฟอกขาว คลอรีน นิยมใช้ซักผ้าในห้องน้ำ ซักผ้าผู้ป่วยเป็นต้น
4.สารเพิ่มความขาวและสดใสของผ้า สารเพิ่มความสดใสของผ้าในสารซักฟอกส่วนมากจะใส่สารนี้ไว้แต่ถ้าเป็นผ้าที่เราต้องการให้ดูสดใสยิ่งขึ้นให้ใช้คราม  ซึ่งเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความสดใสของผ้าขาว  และมีขายอยู่ทั่วไป โดยนำครามไปผสมกับน้ำสุดท้ายเวลาซัก
5.สารตกแต่งผ้าให้แข็ง นิยมใช้กับผ้าที่ต้องการความคงรูป เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าไหม โดยการลงแป้ง  หรือเยลลี่หลังการซักผ้าน้ำสุดท้าย  หรืออาจใช้แป้งสเปรย์สำเร็จรูปฉีดก่อนการรีดผ้า เมื่อรีดเสร็จแล้วนำผ้ามาฉีดด้วยสเปรย์จะแข็งเรียบ สวยงามเหมือนผ้าที่ลงแป้ง


ที่มา : http://www.learners.in.th/blogs/posts/473651

6. สารกำจัดร้อยเปื้อน สำหรับสารกำจัดรอยเปื้อนนั้นไม่มีสารชนิดใดที่สามารถกำจัดรอยเปื้อนได้ทุกชนิดและสารบางชนิดจะทำลายเนื้อผ้า เช่น สารประเภทกรดจะทำลายผ้าที่ท้อจากใยพืช ดังนั้นในการใช้สารกำจัดรอยเปื้อนควรรู้จักคุณสมบัติของสารชนิดนั้นเพื่อการเลือกใช้อย่างเหมาะสม
      ด่างและกรด เป็นสารกำจัดร้อยเปื้อนที่ควรนำมาใช้ในเฉพาะที่เป็นสารละลายอย่างอ่อน เช่น น้ำส้มสายชู ด่างอย่างอ่อน เช่น โซดาไบคาร์บอเนต แอมโมเนีย ซึ่งในการทำความสะอาดด้วยกรดและด่างนั้นเมื่อทำความสะอาดเสร็จแล้วจะต้องนำผ้าไปซักให้สะอาดทุกครั้ง
      สารฟอกขาว สารฟอกขาวที่นำมากำจัดรอยเปื้อนมีอยู่หลายชนิดเวลาใช้ต้องระมัดระวัง  เพื่อไม่ให้สารเหล่านี้ทำลายเนื้อผ้าสารฟอกขาวที่ใช้กำจัดรอยเปื้อนมีดังนี้
- สารฟอกขาวคลอรีนหรือโซเดียมไฮเปอร์คลอไรค์ เป็นสารฟอกขาวที่ใช้กันทั่วไปมักใช้กับผ้าฝ้าย ลินิน ไม่ควรใช้กับผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ เมื่อใช้อย่าทิ้งไว้นานควรรีบล้างออกด้วยน้ำแล้วหยดกรดออกซาลิกลงไปที่รอยเปื้อน เพื่อทำให้คลอรีนซึ่งเป็นด่างเกิดความเป็นกลางก่อนนำผ้าไปซักทั้งคืน
- โซเดียมเปอร์บอเรตและกรดออกซาลิก เป็นสารที่ใช้กำจัดรอยเปื้อนของสนิมเหล็ก  และหมึกได้ดีสารฟอกขาวชนิดนี้จัดว่ามีอันตรายน้อยที่สุดแต่ต้องระวังการทำปฎิกิริยากับสีย้อมผ้า  และไม่ควรใช้กรดออกซาลิกกับผ้าไหม 
- โซเดียมไฮโดรซัลไฟล์ เป็นสารกำจัดรอยเปื้อนของรา หมึก สนิมเหล็ก น้ำผลไม้สีโดยใช้โซเดียมไฮโดรซัลไฟล์ 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำ 1 แก้ว แล้วให้รีบล้างออกและไม่ควรใช้สารนี้กับผ้าไหม
- ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เป็นสารฟอกขาวชนิดอ่อน และสารนี้จะใช้ได้ดีเมื้อใช้แอมโมเนียผสม สามารถใช้ได้กับผ้าทุกชนิด

7. สารละลาย สารกำจัดรอยเปื้อนประเภทสารละลาย ได้แก่ น้ำมันสน เบนซิน อีเทอร์ โรเอทีลีน  และแอลกอฮอล์ใช้สำหรับกำจัดรอยเปื้อนประเภทที่มีส่วนผสมของน้ำมัน  และไขมันเวลาใช้ควรใช้สำลีชุบแล ะทดลองเช็ดด้านในของผ้าก่อน เช่น ตะเข็บ แนว พับ เป็นต้น  เพื่อให้แน่ใจว่าไม่เป็นอันตรายต่อเนื้อผ้าจึงค่อยทำการเช็ดรอยเปื้อนนั้น

วิธีการกำจัดรอยเปื้อน
     การกำจัดรอยเปื้อน เป็นการทำผ้าให้สะอาดโดยเฉพาะผ้าที่สกปรก หรือเปื้อนเฉพาะที่ให้สะอาดก่อนการซัก สำหรับการลบรอยเปื้อนควรพิจารณาว่ารอยเปื้อนนั้นเป็นรอยเปื้อนที่เกิดจากอะไร  และควรเลือกใช้สารให้ถูกต้องตามชนิดของรอยเปื้อนนั้นๆ นอกจากนี้การลบรอยเปื้อนนั้นควรคำนึงถึงชนิดของผ้าเพราะว่าเสื้อผ้าบางชนิดเมื่อถูกสารเคมี อาจทำให้เนื้อผ้าเสียหายหรือขาดได้ ในขั้นแรกควรทดสอบกับผ้าส่วนที่อยู่ด้านในก่อน เช่น ตะเข็บ รอยพับ เมื่อแน่ใจว่าสารลบรอยเปื้อนที่ใช้ไม่ทำให้ผ้าเสียหายจงลงมือปฏิบัติลบรอยเปื้อนนั้น โดยการทำอย่างเบาๆ และใช้สารอย่างเจือจางหลายครั้งดีกว่าการทำครั้งเดียว  และควรทำอย่างระมัดระวังรอยเปื้อนที่พบเห็นกันอยู่บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน มีดังนี้
1.รอยเปื้อนหมึกดำ ถ้าเป็นรอยเปื้อนใหม่ๆ ให้ขยี้ในน้ำผสมสารซักฟอกถ้ายังมีรอยเปื้อนตกค้างอยู่ให้ใช้กรดออกซาลิกผสมน้ำ  หรือใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์โดยแช่เฉพาะส่วนที่เปื้อนบีบมะนาวลงไปให้ชุ่ม ทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที และนำไปผึ่งแดดประมาณ 33 ชั่วโมง แล้วจึงนำไปซักตามวิธีปกติ
2. รอยเปื้อนลิปสติก เช็ดด้วยคาร์บอนเตตราคลอไรด์โดยกลับเอาด้านในออกด้านล่างรองด้วยผ้าฝ้ายซึมน้ำได้ดี  และเช็ดทางด้านผิดแล้วนำไปซักด้วยน้ำร้อนผสมผงซักฟอก


http://www.ความรู้รอบตัว.com/เกร็ดความรู้ในครัวเรือ/วิธีทำความสะอาดรอยเปื้.html

3.รอยเปื้อนชา กาแฟ ถ้ารอยเปื้อนยังไม่แห้งให้นำแป้งข้าวจ้าว แป้งข้าวเหนียวหรือแป้งฝุ่นโรยลงบนรอยเปื้อน  เพื่อให้แป้งดูดซับรอยเปื้อน  และทิ้งไว้ให้แห้งใช้แป้งปัดแป้งออกแล้ว  นำไปซักด้วยสารซักฟอกตามปกติหรือถ้าเป็นผ้าไหมหรือขนสัตว์ให้เช็ดด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ก็ได้
4. รอยเปื้อนเลือดถ้าเป็นผ้าฝ้ายหรือลินินให้แช่น้ำและใช้แอมโมเนียเจือจางเช็ดแล้วนำไปซัก  หรือใช้แป้งมันผสมน้ำให้เข้มเหมือนแป้งเปียก ทาตรงส่วนรอยเปื้อน ทิ้งไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง แป้งมันจะทำหน้าที่ดูดซับรอบเปื้อน และนำไปซักตามปกติ
5. รอยเปื้อนหมากฝรั่งให้ใช้น้ำแข็งถูให้หมากฝรั่งจับตัว  และใช้สันมีดขูดออกแล้วเช็ดด้วยสารละลายเปอร์คลอโรเอทิลีนหรือคาร์บอนเตตราคลอไรด์  หรือสารละลายอื่น
6. รอยเปื้อนน้ำผลไม้ กำจัดรอยเปื้อนด้วยสารฟอกขาวไฮเปอร์คลอไรด์หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์  หรือแช่ในน้ำร้อนแล้วซักด้วยสารซักฟอกตามปกติ
7.รอยเปื้อนน้ำมัน เช็ดออกด้วยเปอร์คลอโรเอทิลีนและซักในน้ำสบู่  หรือสารละลายอื่นหรือใช้ผ้าขนหนู  หรือผ้าฝ้ายที่ดูดซึมน้ำได้ดีรองด้านล่างแล้วเทคาร์บอนเตตราคลอไรด์ลงไปที่รอยเปื้อนแล้วเช็ดด้วยสำลีหรือผ้าแห้ง  และนำไปซักกับน้ำอุ่นที่ผมสารซักฟอก
8. รอยเปื้อนไอศกครีมให้เช็ดออกด้วยแอลกอฮอล์หรือต้มในน้ำผสมสารละลายโซเดียมไทโอซัลเฟต  หรือนำไปซักในน้ำอุ่นผสมด้วยผงซักฟอกถ้ายังเช็ดไม่หมดให้ใช้คาร์บอนเตตราคลอไรด์
9. รา ใช้ผงชอล์กละลายน้ำทิ้งไว้ แล้วนำไปซักโดยวิธีปกติหรือเช็ดออกด้วยสารฟอกขาวไฮเปอร์คลอไรด์
10. นม ครีม เช็ดออกด้วยสารฟอกขาวไฮเปอร์คลอไรด์ และซักในน้ำอุ่นผสมสารซักฟอก
11. ยางผลไม้ ให้ใช้สารส้มถูบริเวณรอยเปื้อน และนำไปซักด้วยสารซักฟอก

การซักผ้า
     การซักเป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกออกจากเสื้อผ้า สำหรับการซักผ้าให้ถูกวิธีควรปฏิบัติตามดังนี้

1. ก่อนการซักผ้าให้ล้วงกระเป๋าเสื้อกระเป๋ากางเกงทุกตัวหากมีวัตถุสิ่งของตกค้างอยู่ให้เอาออกจากกระเป๋า หากมีเสื้อที่ชำรุดให้แยกออกและทำการซ่อมแซมให้เรียบร้อยก่อนนำไปซัก


ที่มา : http://www.thaipattern.com/page1.php?id=37

2. แยกผ้าขาว ผ้าสี ออกจากกัน เสื้อเด็กและเสื้อผู้ใหญ่ควรแยกซัก เพราะเสื้อเด็กสกปรกมากกว่าเสื้อผู้ใหญ่
3. นำน้ำเปล่าผสมสารซักฟอกอย่างอ่อนใส่กะละมังแช่ผ้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที โดยแยกระหว่างผ้าสี และผ้าขาว เพื่อให้น้ำผสมสารซักฟอกซึมเข้าไปในเนื้อผ้าและใยผ้าคายความสกปรกออกมาในการแช่ผ้าไม่ควรนำกางเกงใน ถุงเท้า แช่ปนกับเสื้อ
4. ขยี้หรือแปรงเสื้อผ้าให้ทั่ว ส่วนที่สกปรกมากได้แก่ ปกเสื้อ ส่วนพับปลายแขน ขอบกางเกง ปากกระเป๋าให้แปรงขยี้จนสะอาด
5. บีบผ้าเอาน้ำสารซักฟอกออกมาควรบิดผ้าแรงๆ
6. ซักผ้าที่แปรงแล้ว 3-4 ครั้ง จนหมดน้ำสารซักฟอก
     ในปัจจุบันการซักผ้าสามารถทำได้ 2 วิธี คือ ซักด้วยมือและซักด้วยเครื่องซักผ้า โดยมีวิธีการซักที่แตกต่างกันดังนี้

การซักผ้าด้วยมือเป็นการซักผ้าที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมเป็นวิธีซักผ้าที่ต้องออกแรงขยี้  หรือแปรงผ้าที่ซักเหมาะสำหรับผ้าที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ  หรือผ้าที่สกปรกมาก แต่วิธีนี้ใช้เวลา แรงงานมากกว่าซักด้วยเครื่องซักผ้าซึ่งข้อดีของการซักผ้าด้วยมือ คือ สามารถทำความสะอาดเฉพาะส่วนได้ดี สำหรับเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในการซักผ้า  โดยทั่วไปแล้วในการซักผ้าด้วยมือจะใช้เครื่องมืออุปกรณ์ดังนี้
1. ถังหรืออ่างสำหรับแช่และซักผ้าอย่างน้อย 2 ใบ
2. แปรงซักผ้า ใช้แปรงผ้าในส่วนที่สกปรกมาก เช่น ปกเสื้อ ขอบแขน เป็นต้น
3. กระดานแปรงผ้า ให้ใช้คู่กับแปรงสำหรับรองผ้าขณะแปรงผ้า
4. สารซักฟอก ได้แก่ ผงซักฟอก สบู่และสารฟอกขาวใช้ซักผ้าโดยสารฟอกขาวจะใช้ในกรณีซักผ้าขาว หรือผ้าสกปรกที่ต้องการฟอกเฉพาะส่วน
5. สารแต่งผ้า ได้แก่ คราม แป้งลงผ้า เยลลี่

- คราม ใช้สำหรับแต่งสีผ้าขาวให้สดใสทำได้โดยนำครามละลายกับน้ำ  และนำผ้าที่ซักสะอาดแล้วไปแช่และขยำในน้ำครามให้ทั่ว บิดและนำไปตาก
- แป้งลงผ้า ใช้สำหรับลงผ้าให้มีความคงรูปใช้ได้ทั้งผ้าสีและผ้าขาวโดยทั่วไปแล้วจะใช้กับผ้าฝ้าย ผ้าไหมโดยใช้แป้งมันสำปะหลังต้มกับน้ำพอน้ำแป้งสุกจะมีลักษณะข้นใสและก่อนที่จะนำไปลงผ้าควรกรองน้ำแป้งด้วยผ้าขาวบาง เพื่อนำเศษฝุ่นละอองและแป้งที่จับเป็นลูกออกจากน้ำแป้ง น้ำแป้งไม่ควรให้ข้นมากพอแป้งสุก  ให้นำมาผสมน้ำคนให้ทั่วแล้วนำผ้าลงแช่ให้ทั่ว จึงบิดและนำไปตาก
- เยลลี่ลงผ้า ใช้สำหรับตกแต่งผ้าให้คงรูปเช่นกันมีขายอยู่ทั่วไปมีบักลักษณะเป็นแผ่นบางเป็นเส้น วิธีการแต่งผ้าให้นำไปต้มผสมกับน้ำ  และกรองเช่นเดียวกับแป้งลงผ้า

การซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้า 
     การซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้าในปัจจุบัน นิยมกันมากเพราะว่าช่วยประหยัดเวลาและพลังงานมีอยู่หลายรูปแบบ เหมาะสำหรับผ้าที่ไม่พิถีพิถันในการซักหรือผ้าที่สกปรกมากแต่ถ้าต้องการซักผ้าที่สกปรกมากให้สะอาด ก่อนการใช้เครื่องซักผ้าควรแปรงหรือขยี้ผ้าด้วยมือหรือทาด้วยน้ำยาขจัดรอยเปื้อน เฉพาะส่วนที่สกปรกมาก เช่น ปก ปลายแขน เป็นต้น การใช้เครื่องซักผ้าต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาดและจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อยืดอายุการใช้งานของเสื้อผ้าได้ยาวนานสำหรับวิธีการในการซักผ้าควรปฏิบัติดังนี้

1. ก่อนการซักผ้า ให้ตรวจดูกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกงทุกตัว หากมีวัตถุสิ่งของตกค้างอยู่ให้เอาออก
2. กลับเสื้อผ้าทุกตัวโดยเอาด้านในออกก่อนการซักผ้า
3. เพื่อให้ผ้าสะอาดอย่างทั่วถึงควรทำความสะอาดด้วยมือ หรือผสมสารซักฟอกเฉพาะที่ก่อนการซักด้วยเครื่อง เช่น ปกเสื้อ ขอบปลายแขนเสื้อ เป็นต้น
4. นำผ้าใส่ลงในเครื่องซักผ้าตามขนาดละความจุ หรือน้ำหนักที่บอกรายละเอียดไว้
5. นำสารซักฟอกและสารอื่นๆ ใส่ในเครื่องซักผ้า ตามข้อแนะนำของเครื่องซักผ้าแต่ละชนิด
6. เพื่อให้เสื้อผ้าสะอาดยิ่งขึ้นควรแช่ผ้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที เช่นเดียวกันกับการซักด้วยมือ
7. ตั้งรายการซักผ้าตามคำแนะนำของเครื่องซักผ้า
8. เมื่อซักเสร็จแล้ว ให้นำผ้าออกจากเครื่องซักผ้า

การซักผ้าขาว 
    ในการซักผ้าขาวควรแยกซักแบบผ้าสีเพราะว่าถ้าซักรวมกันกับผ้าสี  จะทำให้ผ้าขาวสีหมองคล้ำ หรือมีสีด่างดำจากสีของผ้าสีได้ซึ่งในการซักควรปฏิบัติดังนี้
1. นำน้ำเปล่าหรือน้ำผสมผงซักฟอกอ่อนๆใส่กะละมัง แช่ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที
2. ศึกษาคุณสมบัติของผ้าก่อนทำการซักผ้าบางชนิดผสมใยสังเคราะห์ เมื่อถูกสารฟอกขาวจะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเหลือง  หรือสีน้ำตาลอ่อน ผ้าบางชนิดเมื่อขยี้แรงๆหรือถูไปมาแรงๆเนื้อผ้าจะเสียรูปทรงดังนั้น ควรทดลองโดยใส่เศษผ้าหรือหากไม่มีก็ทดลองโดยใช้เสื้อผ้าส่วนที่มองเห็นไม่ชัดเจนเมื่อสวมใส่เช่นใต้วงแขน สาบเสื้อด้านใน เป็นต้น
3. สำหรับเสื้อผ้าที่สามารถแปรงได้ ให้ใช้แปรงเบาๆหลายครั้งในส่วนที่สกปรกมากให้ทั่ว ถ้าเป็นเสื้อเชิ้ตผู้ชายควรใช้วิธีแปรง ถ้าใช้วิธีขยี้จะทำให้ปกเสื้อเสียรูปทรงและในการแปรงผ้าถ้าแปรงแรงมากจะทำให้ผ้าขาดง่าย  และเสียรูปทรงส่วนผ้าที่เนื้อบางให้ใช้วิธีขยำถ้าจำเป็นต้องขยี้จะต้องขยี้ให้เบามือที่สุด
4. เมื่อซักสะอาดโดยการซักให้หมดสารซักฟอกแล้ว จึงลงสารแต่งผ้าตามต้องการและนำไปตากแดดโดยกลับเอาด้านในออก

การซักผ้าสี ควรปฏิบัติดังนี้
1. เพื่อป้องกันสีตกและทำให้ผ้ามีสีสดใสขึ้น ให้นำน้ำเปล่าผสมเกลือคนให้เกลือละลาย  และนำผ้าลงแช่ประมาณ1ชั่วโมงโดยใช้น้ำประมาณ 4 ลิตร ต่อเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
2. นำผ้าไปแช่ในน้ำผสมสารซักฟอกอ่อนๆในกะละมัง แช่ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที
3. ซักวิธีเดียวกันกับการซักผ้าขาว แต่ไม่ต้องลงคราม ส่วนการตกแต่งผ้าให้แข็งก็สามารถทำได้ตามต้องการ
4. การตากผ้าสี ไม่ควรตากแดดจัด เพราะจะทำให้ผ้าสีซีดเร็วควรตากในที่ลมโกรก  หรือที่มีแดดรำไรและกลับเอาผ้าด้านในออกเช่นเดียวกัน
5. แขวนเสื้อผ้าหรือกางเกงที่ต้องการ และใช้มือจัดรูปทรงดึงผ้าตึงเบาๆ เพื่อให้มีรอยยับน้อยที่สุดซึ่งจะทำให้ประหยัดเวลาในการรีด ส่วนผ้าที่ซักด้วยเครื่องซักผ้าเมื่อซักเสร็จแล้วสามารถนำไปตากได้ทันที  โดยผ้าจะมีลักษณะหมาดๆไม่อุ้มน้ำเพราะว่าผ่านกรรมวิธีเอาน้ำออกจากผ้ามาแล้ว
6. เสื้อผ้าที่เป็นผ้าสี ควรตากในที่ล่มโกรกหรือแดดรำไรไม่ควรตากแดดจัดเพราะว่าจะทำให้สีของผ้าเสื่อมสภาพ
7. การตากเสื้อยืด ถุงน่องไม่ควรตากโดยวิธีแขวนสำหรับเสื้อยืดควรวางพาดบนราวหลายเส้นเพราะว่าจะทำให้เสื้อไม่เสียรูปทรง
8. การตากผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดตัวควรตากแดดและให้มีลมโกรก โดยวางพาดบนราวตากผ้า  และให้ใช้ไม้หนีบไว้เพื่อกันการตกพื้นซึ่งจะทำให้ผ้าไม่เหม็นอับชื้นและปราศจากเชื้อรา
9. รองเท้าผ้าใบสีขาว เพื่อป้องกันรอยด่างที่จะเกิดบนรองท้า  เมื่อซักเสร็จแล้วก่อนตากควรนำกระดาษชำระสีขาววางปิดบนรองเท้า

การอบผ้า
การอบผ้าเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำให้ผ้าแห้งด้วยเครื่องอบไฟฟ้า แต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในครัวเรือน โดยทั่วไปจะมีไว้บริการตามร้านซักอบรีดในโรงแรมและพยาบาล เป็นต้น

<< Go Back