![<< Go Back](image/iconclose.gif)
![](image/banner1.png)
สีเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งในการวาดภาพ การเลือกใช้สีที่เหมาะสมกับการนำไปใช้งาน ก็จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ซึ่งในบทนี้จะศึกษาการทำงานที่เกี่ยวกับสีตั้งแต่ทำความรู้จักกับโหมดสี , การตั้งโหมดสี , เทคนิกการใช้สีและปรับแต่งสีแต่ละประเภทไม่ว่าจะเป็นสีแบบทึบ , การปรับสีให้โปร่งใส ,
การใส่สีแบบเกรเดียนท์ เป็นต้น
ทำความรู้จักกับโหมดสี
โหมดสี (Color Mode) คือวิธีการกำหนดค่าสีที่จัดเก็บในไฟล์รูปภาพ โดยยึดหลักการมองเห็นสีในโมเดลสีต่างๆ สำหรับโหมดสีใน Illustrator แบ่งออกเป็น 5 โหมด ดังนี้
![](image/0000.png) โหมด RGB ใช้หลักการของโมเดล RGB โดยมีการกำหนดค่าความเข้มข้นของสีแดง เขียว และน้ำเงินที่มาผสมกันในแต่ละพิกเซลเป็นค่าตั้งแต่ 0-255 ภาพที่เกิดจากโหมด RGB จะเป็นการซ้อนสีหลัก 3 ชั้น และสามารถมองทะลุผ่าน 3 สีนี้จนกลายเป็นภาพ ซึ่งเรียกชั้นของสีเหล่านี้ว่า “Channel” โดยปกติสีทั่วไปในการแสดงผลจะมีถึง 16.7 ล้านสี หรือ 224
![](image/0000.png) โหมด CMYK ใช้หลักการของโมเดล CMYK โดยมีการกำหนดค่าสีจากเปอร์เซ็นต์ความเข้มข้นของสีแต่ละสีที่มาผสมกัน เช่น สี Bright Red เกิดจาก C = 2% M = 93% Y = 90% K = 0% (หรือสีขาว)
![](image/0000.png) โหมด HSB ใช้หลักการของโมเดล HSB โดยมีค่า 3 ค่าที่ต้องกำหนดคือ Hue เป็นวงล้อสี ซึ่งแต่ละสีจะแตกต่างกันตามคามยาวของคลื่นแสงที่มากระทบวัตถุและสะท้อนกลับมาที่ตาของเรา, Saturation เป็นตัวกำหนดความเข้มความจางของสี และ Brightness เป็นตัวกำหนดความมืด และความสว่างของสี
![](image/0000.png) โหมด Grayscale การไล่เฉดสีเทา จะประกอบด้วยสีทั้งหมด 256 สี โดยไล่จากสีขาวสีเทาไปเรื่อยจนท้ายสุดคือสีดำ ใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูล 8 บิต
![](image/0000.png) โหมด Web Safe RGB การแสดงสีบนเว็บเพจ ใช้หลักการผสมสีเช่นเดียวกับโหมด RGB แต่จะเป็นการกำหนดสีเพื่อใช้งานในภาษา HTML เช่น #000000 เป็นสีดำ, #FF0000 เป็นสีแดง จะสามารถแสดงความกว้างของแต่ละสีได้เพียง 216 สี (00-FF) ซึ่งน้อยกว่าโหมด RGB ทั่วไป ดังนั้น หากเราสร้างภาพกราฟิกสำหรับแสดงผลบนเว็บก็ควรใช้โหมดสี Web Safe RGB เพื่อป้องกันการเกิดความผิดเพี้ยน
การเปลี่ยนโหมดสี
เราสามารถเปลี่ยนโหมดสีที่จะใช้ ได้จากการเลือกเมนูจากพาเนล Color โดยคลิก จากนั้นเลือกโหมดสีที่ต้องการ
![](image/pic03.png)
เติมสีให้วัตถุ (Fill Color)
สำหรับการกำหนดสีให้กับวัตถุนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี เช่น กำหนดจากพาเนล Color , Color Picker , พาเนล Swatch , หรือพาเนล Gradient เป็นต้น ซึ่งสามารถเลือกใช้แต่ละวิธีได้ตามความจำเป็นและความถนัด
เติมสีพื้นและสีเส้นจากพาเนล Color
หลังจากที่แสดงพาเนล Color แล้ว เราจะมาเติมสีให้กับวัตถุกันตามขั้นตอน ดังนี้
![](image/pic04.png)
เติมสีพื้นและสีเส้นจาก Color Picker
การเติมสียังสามารถใช้ Color Picker ในการกำหนดสีพื้นและสีเส้นได้โดยคลิกเลือกจากแถบแยกสีหรือป้อนตัวเลขค่าสีเอง นอกจากนี้แล้วยังสามารถเปลี่ยนและเลือกสีในโมเดลต่างๆ ได้ด้วย โดยมีขั้นตอนดังนี้
![](image/pic05.png)
![](image/pic06.png)
เติมสีพื้นและสีเส้นด้วยเครื่องมือในทูลบ็อกซ์
ในการเลือกสีเพื่อนำไปใช้ตกแต่งภาพนั้น สีที่เลือกจะปรากฏในช่อง Fill และ Stroke ซึ่งเราสามารถใช้เครื่องมืออื่นบนทูลบอกซ์ที่อยู่ใกล้เคียง ในการสลับหรือเปลี่ยนแปลงสีใหม่ได้ดังนี้
- คลิกที่ปุ่ม
เพื่อสลับค่าระหว่างสีพื้นกับสีเส้น
- คลิกที่ปุ่ม
เพื่อกลับไปใช้สีเริ่มต้น (Default color) คือ พื้นสีขาวและเส้นสีดำ
- คลิกที่ปุ่ม
(Gradient) เพื่อเติมสีแบบไล่โทน
- คลิกที่ปุ่ม
(None) ไม่ต้องการเติมสีใดๆ
- คลิกที่ปุ่ม
จะกลับมาใช้สีทึบ (Solid) หลังจากที่ใช้สีแบบไล่โทนหรือไม่เติมสีใดๆ
เติมสีพื้นและสีเส้นจากพาเนล Swatches
สีที่มีในพาเนล Swatches นั้นเป็นสีสำเร็จที่โปรแกรมได้เตรียมไว้ให้แล้วเป็นชุดๆ ซึ่งมีทั้งหมด 3 แบบคือ สีแบบทึบ , แบบไล่โทนและลวดลายพื้น (Pattern) ซึ่งผู้เรียนสามารถกำหนดสีต่างๆ เหล่านี้ให้จากพาเนล Swatches ก่อนอื่นผู้เรียนจะต้องเปิดพาเนล Swatches ขึ้นมาใช้งานโดยเลือกเมนูคำสั่ง Windows เลือกพาเนล Swatches จะปรากฏพาเนลที่มีการกำหนดรูปแบบ ต่าง ๆดังนี้
![](image/pic12.png)
ในพาเนล Swatches สามารถที่จะเปลี่ยนเป็นมุมมองต่างๆ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างสะดวกขึ้น โดยคลิกปุ่ม แล้วเลือกรูปแบบต่างๆ ดังนี้
![](image/pic14.png)
สำหรับขั้นตอนในการเติมสีจากพาเนล Swatches มีดังนี้
![](image/pic15.png)
![](image/pic16.png)
![](image/pic17.png)
สร้าง Pattern ใหม่ในพาเนล Swatches
นอกจากการสร้างสีใหม่ตามวิธีข้างต้นแล้ว ผู้เรียนยังสามารถทำการสร้าง Pattern ไว้ใช้งานได้อีกด้วย โดยมีขั้นตอนดังนี้
![](image/pic18.png)
![](image/pic19.png)
เติมสีพื้นแบบไล่โทนด้วยพาเนล Gradient
การเติมสีแบบไล่โทนจะช่วยให้ภาพดูมีมิติและมีความสวยงามมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการไล่ระดับสี
จากสีหนึ่งไปยังอีกสีหนึ่ง โดยใช้ทิศทางการไล่อยู่สองทาง คือ การไล่แบบแนวตรงและแบบวงกลม และจะทำงานร่วมกับเครื่องมือ Gradient และพาเนล Gradient โดยเลือกพาเนล Gradient มาไว้บนโปรแกรมโดยคลิกเลือกเมนูคำสั่ง Windows เลือกคำสั่ง Gradient ซึ่งจะมีส่วนประกอบของพาเนลดังนี้
![](image/pic20.png)
ขั้นตอนการเติมสีแบบ Gradient มีดังนี้
- คลิกเลือกวัตถุที่ต้องการเติมสีแบบ Gradient
- คลิกที่ปุ่ม
(Gradient) บน Toolbox เพื่อเติมสีแบบไล่โทน
- คลิกเลือก Type ในพาเนล Gradient เพื่อกำหนดรูปแบบการไล่สี
- ระบุองศาการเอียงของสีที่ช่อง Angle
- ดับเบิ้ลคลิกที่จุดสี
จะปรากฏหน้าต่างของสีขึ้นมา จากนั้นเลือกสีที่ต้องการ
- คลิกลากปุ่ม
เพื่อกำหนดตำแหน่งของจุด หรือป้อนค่าตัวเลขที่ช่อง Location
หลังจากนั้นให้คลิกจุดสีที่เหลือ แล้วทำซ้ำในขั้นตอนที่ 5 และ 6
- เปลี่ยนศูนย์กลางของการไล่ระหว่างสี 2 สี ได้โดยคลิกลากที่ปุ่ม
หรือ คลิกที่ปุ่มแล้วใส่ค่าที่ช่อง Location ก็ได้เช่นเดียวกัน
![](image/pic24.png)
การเพิ่มจำนวนจุดสี
หากต้องการไล่โทนสีให้มากกว่าที่มีอยู่ ให้คลิกเลือกวัตถุที่ต้องการเพิ่มจำนวนจุดสีหลังทำตามขั้นตอนดังนี้
วิธีที่ 1 จากพาเนล Gradient
![](image/pic25.png)
วิธีที่ 2 จากพาเนล Swatches
![](image/pic26.png)
การลดจำนวนจุดสี
เมื่อทำการเพิ่มจำนวนไปแล้ว และต้องการลดจำนวนจุดสีบางจุดที่ไม่ต้องการออกไปจากวัตถุ สามารถทำได้ดังนี้
![](image/pic27.png)
การคัดลอกจุดสี
สำหรับสีบางสีที่ต้องการใช้หลายตำแหน่ง สามารถคัดลอกจากจุดเดิมไปยังจุดสีใหม่ได้ โดยที่ไม่ต้องผสมสีใหม่ โดยคีย์ Alt บนแป้นพิมพ์ค้างไว้แล้วคลิกลากจุดสีต้นแบบออกไปวางยังตำแหน่งใหม่จะเห็นว่าจุดสีที่เพิ่มขึ้นมาจะมีสีเดียวกับจุดสีที่เป็นต้นฉบับ ดังภาพ
![](image/pic29.png)
สร้าง Gradient ใหม่ในพาเนล Swatches
หากต้องการเก็บสี Gradient ที่สร้างขึ้นเองไว้ใช้งานในครั้งต่อไปก็สามารถทำได้โดยเก็บไว้ในพาเนล Swatches โดยมีขั้นตอนคือ
![](image/pic30.png)
ปรับแต่งทิศทางและการกระจายของสีด้วยเครื่องมือ Gradient
หลังจากกำหนดสีแบบไล่โทนให้กับวัตถุไม่ว่าจะเป็นแบบแนวตรง หรือ แบบรัศมีวงกลมก็ตาม เราสามารถเปลี่ยนจุดศูนย์กลาง ทิศทาง และระยะการกระจายตัวของสีเหล่านี้ได้ใหม่ตามต้องการ ดังนี้
![](image/pic31.png)
เติมสีและเส้นด้วยพาเนล Graphic Styles
Style เป็นชุดรูปแบบสีและเส้นรวมทั้งมีกราฟิกพิเศษ เช่น การเติมเงา , การไล่โทนสีแบบหลอดไฟนีออน , ทำขอบแบบหยัก , สีพื้นแบบลายเส้น เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการดึงคุณสมบัติของ Filter และ Effect เข้ามาใช้ โดยโปรแกรมจะรวบรวมและเก็บไว้เป็นหมวดๆ อยู่ใน Graphic Style Libraries ซึ่งวิธีการเปิดพาเนล Graphic Styles ทำได้โดยคลิกที่เมนูคำสั่ง Window เลือกคำสั่ง Graphic Styles โดยมีรายละเอียดดังนี้
![](image/pic32.png)
วิธีการใช้งานสไตล์ (Style)
![](image/pic33.png)
วิธีการเปิดใช้ไลบรารีสไตล์ (Style Libraries)
![](image/pic34.png)
ดูดสีจากวัตถุอื่นด้วยเครื่องมือ Eyedropper
Eyedropper เป็นการเลือกใช้สีอีกวิธีหนึ่ง โดยจะทำการเลือกสีพื้น , สีและรูปแบบเส้น , ความโปร่งใส รวมไปถึงรูปแบบของฟอนต์จากวัตถุต้นแบบมาใช้ และยังสามารถเลือกสีจากภาพบิทแมพมาใช้งานได้ด้วย ซึ่งจะทำให้ภาพวาดมีสีสันที่เหมือนจริง โดยมีวิธีการใช้งานดังนี้
![](image/pic35.png)
เทสีให้ภาพด้วยเครื่องมือ Live Paint Bucket
Live Paint Bucket ใช้ในการเติมสีให้ชิ้นวัตถุที่มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆด้วยเส้น Path หรือด้วยวัตถุอื่นที่ซ้อนทับกันอยู่ โดยไม่ต้องเลือกวัตถุไว้ก่อน ซึ่งสามารถเทสีลงไปได้เลยทันที โดยมีขั้นตอนดังนี้
![](image/pic36.png)
เติมสีแบบไล่โทนสีโดยใช้ Gradient Mesh
สำหรับการไล่โทนสีแบบ Gradient โดยใช้พาเนล Gradient นั้นเป็นการไล่สีตามแนวทีมีให้ คือ แนวตรง (Linear) หรือเป็นวงกลม (Radial) เท่านั้น อย่างไรก็ตามการวาดภาพที่มีแสงเงาแบบซับซ้อนหรือภาพแบบเหมือนจริงนั้น การไล่โทนสีแบบนี้อาจไม่เพียงพอ เนื่องจากทิศทางของเงาหรือโทนสีนั้นไม่ได้เป็นเส้นตรงหรือเป็นวงกลมเสมอไป ดังนั้นหากต้องการวาดภาพในลักษณะนี้แล้วก็ควรใช้การเติมสีแบบ Gradient Mesh
การเติมสีแบบนี้จะเป็นการเติมสีแบบอิสระเหมือนกับการใช้พู่กันระบายสี ทั้งนี้ก่อนอื่นจะต้องสร้างตาข่ายสำหรับเป็นโครงสร้างในการเติมสีก่อน ซึ่งจะเป็นเส้นตารางในแนวตั้งและแนวนอน โดยการเติมสีนั้นจะเติมจากจุดตัดของเส้น โดยแต่ละจุดก็จะเก็บคุณสมบัติสีของตัวเองและเมื่อเติมสีให้กับจุดสีก็จะทำการกระจายออกไปพร้อมๆ กับไล่โทนไปหาสีที่จุดอื่นบริเวณรอบๆ
การกระจายของสีนั้นจะขึ้นอยู่กับจำนวนของเส้นตาข่าย หากเส้นมีน้อยระยะห่างแต่ละจุดมากก็จะทำให้สีกระจายได้ในวงกว้างดังภาพด้านซ้าย แต่หากจำนวนตาข่ายมีมากระยะห่างในแต่ละจุดก็จะน้อย จึงทำให้สีกระจายได้ในวงแคบๆ ดังภาพด้านขวา
![](image/pic37.png)
การสร้างตาข่ายด้วยเครื่องมือ Mesh
การสร้างตาข่ายด้วยเครื่องมือ Mesh เป็นการสร้างตาข่ายแบบอิสระ โดยสร้างจุดตัดของเส้นในแนวตั้งและแนวนอนตามการคลิกตรงตำแหน่งบนวัตถุ โดยมีขั้นตอนดังนี้
- คลิกที่เครื่องมือ Mesh
บน Toolbox โดยเมาส์จะเปลี่ยนเป็นรูป ![](image/pic39.png)
- ใช้เมาส์รูป
คลิกตรงตำแหน่งบนวัตถุที่ต้องการให้เป็นจุดสี
![](image/pic40.png)
![](image/pic41.png)
สร้างตาข่ายด้วยคำสั่ง Create Gradient Mesh
เป็นการสร้างตาข่ายโดยแบ่งออกเป็นช่องแถวและคอลัมน์ที่มีขนาดเท่าๆ กัน และมีลักษณะของเส้นตาข่ายที่แปรเปลี่ยนไปตามรูปทรงของวัตถุ ซึ่งมีขั้นตอนในการสร้างดังนี้
- คลิกเลือกวัตถุ
- คลิกเมนูคำสั่ง Object เลือกคำสั่ง Create Gradient Mesh…
- กำหนดรายละเอียดของตาข่าย ดังนี้
![](image/0000.png) Rows กำหนดจำนวนแถว
![](image/0000.png) Columns กำหนดจำนวนคอลัมน์
![](image/0000.png) Appearances เลือกรูปแบบการไล่โทนสี
Flat กำหนดให้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสีใดๆ
To Center ปรับการไล่โทนสีโดยใช้สีสว่างจากจุดกลางวัตถุ
To Edge ปรับการไล่โทนสีโดยใช้สีสว่างจากขอบด้านนอก
![](image/0000.png) Highlight กำหนดความสว่างของโทนสี เมื่อเลือกรูปแบบการไล่แบบ To Center หรือ To Edge
4. คลิกปุ่ม
![](image/pic45.png)
เติมสีให้กับจุดสี
หลังจากสร้างตาข่ายแล้วยังสามารถเติมสีให้กับจุดตัดของเส้นตาข่ายดังนี้
1. คลิกเลือกจุดสีด้วยเครื่องมือ Direct Selection หรือเครื่องมือ Lasso ในกรณีที่ต้องการเลือกหลายจุดพร้อมๆ กัน
![](image/0000.png) กดคีย์ Shift ค้างไว้ขณะคลิกลากเพื่อเพิ่มกลุ่มของจุดสีในบริเวณอื่นๆ
2. คลิกกำหนดสีจากพาเนล Swatches , Color หรือ Color Guide
![](image/0000.png) หากเป็นการวาดภาพตามต้นแบบ เราสามารถใช้เครื่องมือ Eyedropper ดูดสีจากภาพต้นแบบมาใช้ได้ ซึ่งจะทำให้ภาพมีความเหมือนจริงมากขึ้น
![](image/pic49.png)
กำหนดความโปร่งใสของสีด้วยพาเนล Transparency
การปรับแต่งความโปร่งใสจะส่งผลให้วัตถุนั้นมีความจางลงจนมองเห็นวัตถุอื่นที่อยู่ด้านหลังได้ โดยค่า Opacity ที่ 100 % จะทำให้สีวัตถุทึบที่สุด ในขณะที่ค่า Opacity ที่ 0 % วัตถุจะโปร่งจนมองไม่เห็น ซึ่งการปรับค่าความโปร่งใสจะต้องทำที่พาเนล Transparency ดังนี้
![](image/pic50.png)
![](image/title_01.png)
![](image/vdo_02.png)
|